รับจำนองที่ดิน
รับจำนองที่ดิน เคยไหมครับที่อยู่ดีๆก็มีเรื่องให้ใช้เงิน เป็นเงินใหญ่ซะด้วย แถมยังจะต้องใช้ด่วนอีก แล้วจะไปหาที่แห่งไหนมาให้ทัน!!? เรื่องอย่างงี้คงเป็นสิ่งที่คนไม่ใช่น้อยภาวนาไม่ให้กำเนิดกับตนเองใช่ไหมล่ะครับผม แต่ก็นะ.. อุบัติเหตุรวมทั้งเรื่องที่ไม่คาดคิดมันก็สุดจะห้ามจริงๆแต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่จะต้องรีบทำเลยก็เป็นหาทางแก้ปัญหา และก็ทางออกหนึ่งที่น่าสนใจก็คือการนำ บ้าน ที่มีอยู่ไปจำนองกับแบงค์หรือเอกชนเจ้าต่างๆเพื่อได้เงินก้อนใหญ่มาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น… แม้กระนั้นใจเย็นๆก่อน!
เนื่องจากว่าก่อนนำบ้านไปจำนำพวกเราควรรู้เนื้อหาต่างๆของการจำนำก่อนว่ามีอะไรที่สำคัญแล้วก็ข้อควรคำนึงที่จำต้องเอาใจใส่มีอะไรบ้าง วันนี้ผมจะมาสรุปให้ฟังครับ ไปดูกันเลยจำนำเป็นยังไงการจำนองก็คือการที่เราใช้อสังหาริมทรัพย์วางไว้เป็นประกันสำหรับในการชำระหนี้
รวมทั้งจะไปไถ่คืนตามช่วงเวลาที่กำหนด ถ้าจะบอกให้เห็นภาพก็ราวกับการจำนองน่ะครับ ที่เป็นการนำสินทรัพย์อย่างสร้อย แหวน นาฬิกา ไปวางเป็นประกันสำหรับการกู้หนี้ยืมสินหรือเรียกกล้วยๆว่าจำนำ
แม้กระนั้นการจำนองจำเป็นจะต้องใช้อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์พิเศษบางชนิดเป็นประกันแทนนั่นเอง รวมทั้งถ้าไม่จ่ายและชำระหนี้ตามกำหนด เจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องให้นำเงินทองไปขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาใช้คืนได้อีกด้วย
จำนำจำต้องใช้อะไรบ้างการจะไปยื่นกู้ยืมเงินที่จะต้องวางบ้านหรือที่ดินไว้เป็นหลักประกันหรือที่เรียกว่าการจำนองนั้น ทางธนาคารหรือบริษัทเอกชนที่รับจำนองจะไตร่ตรองจากตัวผู้กู้ด้วยครับ โดยมีคุณสมบัติสำคัญๆที่มักนำไปพิเคราะห์ อาทิเช่น
1. มีชนชาติไทย อายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป
2.1 ถ้าเป็นพนักงานประจำ ต้องมีอายุงานไม่น้อยกว่าที่ระบุ (โดยประมาณ 1 ปี หรือ 2 ปี)
2.2 หากเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว ต้องดำเนินกิจการมาไม่น้อยกว่าช่วงเวลาที่กำหนด (โดยประมาณ 2 ปี)
3. มีค่าแรงขั้นต่ำต่อเดือนตามที่กำหนด (ราว 15,000 บาทขึ้นไป)
4. มีผู้กู้ร่วมได้ไม่เกินปริมาณที่กำหนด และจะต้องเป็นญาติพี่น้องกันตามกฎหมาย ส่วนหลักฐานในการยื่นกู้ยืมโดยใช้อสังหาริมทรัพย์วางเป็นประกันหรือการจำนองนั้น จะขึ้นอยู่กับแบงค์หรือบริษัทผู้ให้กู้ ดังเช่นว่าเอกสารเฉพาะบุคคล
1. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
2. สำเนาทะเบียนบ้าน
3. สำเนาทะเบียนสมรส (ถ้าหากมี) สำเนาหลักฐานหย่า (ถ้ามี) หรือสำเนาใบเปลี่ยนแปลงชื่อหรือสกุล (ถ้าหากมี)
4. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนแล้วก็ทะเบียนบ้านของคู่รัก (หากมี)เอกสารเรื่องการเงิน
1. สลิปเงินเดือนเดือนปัจจุบันหรือใบรับรองค่าตอบแทนรายเดือน
2. สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน
3. ถ้าประกอบธุรกิจส่วนตัว ควรจะมีเอกสารเพิ่มอีก ดังเช่น ทะเบียนการค้า ใบรับรองกระทรวงพาณิชย์ หนังสือบริคณห์สนธิ เป็นต้นเอกสารด้านหลักทรัพย์
1. ใบรับรองกรรมสิทธิ์ของบ้านหรือที่ดิน
2. หนังสือสัญญาจำหน่ายที่ดิน ทั้งหมดทั้งปวงนี้เป็นเพียงข้อมูลสำคัญๆที่แบงค์แล้วก็บริษัทเอกชนหลายแห่งปรารถนาเพื่อประกอบกิจการพินิจพิเคราะห์ปลดปล่อยกู้ครับผม แต่บางที่อาจปรารถนาหลักฐานอันอื่นเพิ่มอีกก็ได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวควรจะตรวจทานข้อมูลจากแบงค์หรือบริษัทนั้นๆ
ก่อนไปปฏิบัติงานด้วยนะครับ ขอบพระคุณรูปภาพจาก hansons-home.comจำนองตรงไหนดีและจำเป็นต้องมองอะไรบ้างการที่สหายๆจะนำบ้านหรือที่ดินไปจำนำเพื่อเป็นประกันสำหรับเพื่อการกู้เงินนั้นนับว่าเป็นเรื่องที่จำต้องคิดอย่างละเอียดก่อน
ด้วยเหตุว่าการติดหนี้ติดสินหลักแสนหรือล้านนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆทั้งยังในปัจจุบันยังมีสถาบันการเงินรวมถึงบริษัทเอกชนเยอะมากที่พร้อมให้นำบ้านมาเป็นประกันสำหรับการกู้เงิน ฉะนั้น เราจึงควรพินิจพิเคราะห์ ดังนี้
1. ความน่าไว้วางใจของบริษัทที่รับจำนำ ในส่วนของแบงค์ชื่อดังอาจไม่น่าห่วงเท่าไหร่ แต่แม้เป็นบริษัทหรือเอกชนรายอื่นๆควรจะตรวจสอบข้อมูลให้ดีและก็เลือกแหล่งที่มีความน่าวางใจเพื่อเลี่ยงปัญหาที่บางทีอาจเกิดขึ้นในภายหลัง
2. จำนวนวงเงินที่อนุมัติ เพราะเหตุว่าถ้าหากเงินที่ได้จากการกู้ยืมน้อยกว่าที่อยากได้ อาจจะทำให้เงินที่ได้มาไม่พอจะนำไปขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นได้ แถมยังเป็นหนี้เป็นสินมากขึ้นอีก ปัญหาเก่าก็ยังไม่หาย ปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นอีก แบบงี้แย่แน่ๆครับ
3. ระยะเวลาผ่อนหนี้และดอกเบี้ย เป็นสิ่งสำคัญจำเป็นต้องคำนวณให้ดี ควรจะเลือกแบบซึ่งสามารถรับผิดชอบไหว ส่งได้ตามที่ได้มีการกำหนด ยิ่งไปกว่านี้ ผู้รับจำนองแต่ละแห่งก็จะคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เท่ากัน เพื่อนๆจำเป็นต้องเปรียบเทียบรวมทั้งเลือกรายที่คิดดอกเบี้ยถูกที่สุดเพื่อให้เราไม่ต้องจ่ายดอกที่แพงเกินไปนั่นเอง
4. อ่านเนื้อหาในสัญญาให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ก่อนจะเซ็นต์ชื่อลงไป ต้องการให้เพื่อนฝูงๆอ่านข้อตกลงให้ดีก่อนว่าเป็นการจำนอง และก็มีข้อมูลเพิ่มเติมนอกเหนือจากนี้ตรงจากที่ตกลงกันไว้ เนื่องจากหากเซ็นต์ลงไปแล้วนั่นแสดงว่าพวกเราสารภาพข้อแม้ทั้งปวงในข้อตกลงนั่นเอง จะพูดว่าไม่เคยทราบก็อาจจะไม่ทันแล้ว
กระบวนการทำธุรกรรมหรือธุรกิจใดๆก็ตามหากไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้ จำเป็นจะต้องมอบสิทธิ์ให้คนอื่นทำแทน โดยยิ่งไปกว่านั้นการดำเนินการใดๆก็ตามที่เกี่ยวกับที่ดิน ซึ่งวันนี้พวกเราก็จะพาคุณไปทำความเข้าใจกับการมอบอำนาจ โดยมีเรื่องที่จำเป็นต้องรู้ดังนี้
1.จำต้องทำเป็นหนังสือ ข้อบังคับกำหนดไว้ชัดแจ้งว่า ถ้าทำธุรกิจใดที่จะต้องทำเป็นหนังสือ ก็ควรต้องมอบสิทธิ์โดยการทำเป็นหนังสือด้วย ซึ่งที่ดินก็จัดเป็นกิจการค้าอย่างหนึ่งที่ต้องทำเป็นหนังสือด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุผลดังกล่าวถ้าหากคุณจะมอบสิทธิ์ให้ใครไปทำเรื่องเกี่ยวกับที่ดินแทนล่ะก็ อย่าลืมทำหนังสือมอบอำนาจเด็ดขาด
2.รายละเอียดจำเป็นต้องชัดแจ้ง การที่คุณทำหนังสือให้อำนาจให้ใครบางคนไปปฏิบัติการเรื่องที่ดินแทน คุณจะต้องระบุเนื้อหาให้กระจ่างด้วย ว่าคนใดให้อำนาจให้คนใดกันแน่ ไปทำอะไร เช่นไร ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันหากมีปัญหาเกิดขึ้น จะได้มีหลักฐานที่แจ่มกระจ่างไว้ยืนยันนั่นเอง
3.ต้องกรอกสัญลักษณ์หนังสือสำคัญ การมอบอำนาจโดยปกติอาจไม่ต้องทำสิ่งนี้ แต่สำหรับที่ดิน นับว่าเป็นข้อบังคับ ที่จะจะต้องกรอกเครื่องหมายหนังสือสำคัญสำหรับในการให้อำนาจเสมอ เพราะเหตุว่าจัดว่าเป็นประเด็นที่สำคัญอย่างมาก
4.มีผู้เห็นเหตุการณ์อย่างต่ำ 1 คน ไม่ใช่ว่าคุณจะสามารถทำหนังสือให้อำนาจส่งให้กันได้เลย แม้กระนั้นต้องมีพยานอย่างต่ำ 1 คนด้วย เพื่อเป็นพยานว่าได้มีการทำหนังสือมอบสิทธิ์ขึ้นมาอย่างถูกต้องจริง และนี่ก็คือเรื่องที่คุณจะต้องรู้แล้วก็เข้าใจเกี่ยวกับการมอบอำนาจในเรื่องที่ดินนั่นเอง โดยเหตุนั้นสำหรับใครกันแน่ที่คิดจะให้อำนาจให้คนไหนไปทำเรื่องเกี่ยวกับที่ดินให้ ก็อย่าลืมทำให้ถูกต้องด้วย
การแบ่งไถ่จากขายฝากเมื่อทำการขายฝาก
คุณจะต้องทราบแล้วก็เข้าใจเกี่ยวกับวิธีขายฝากอย่างครบถ้วนด้วย เพื่อจะได้ไม่เสียเปรียบนั่นเอง โดยวันนี้เราก็จะพาคุณมาทำความเข้าใจกับการแบ่งไถ่จากขายฝากว่าคืออะไร ซึ่งก็มีข้อมูลดังนี้ แบ่งไถ่จากขายฝาก คือ? การแบ่งไถ่จากขายฝาก ก็คือการที่คุณไถ่เงินที่ได้ขายฝากเอาไว้ออกมาเพียงนิดหน่อยเพียงแค่นั้น
และยังคงเหลือบางส่วนที่ขายฝากไว้ต่อ โดยค่อยมาไถ่คืนในตอนหลังนั่นเอง ซึ่งจะไถ่ถอนออกมาเยอะแค่ไหนก็ได้ตามแต่ที่คนซื้อกับผู้ขายจะตกลงกัน และเมื่อแบ่งไถ่ถอนออกมาแล้ว ก็จะลดจำนวนเงินที่ขายฝากเอาไว้ภายในตอนต้นลงมาด้วย
กรณีไหนบ้างที่แบ่งไถ่จากขายฝากได้ เมื่อคุณมีเงินทองที่ได้นำไปขายฝากไว้ คุณสามารถแบ่งไถ่ออกมาได้ทุกกรณี ขึ้นอยู่กับการตกลงกันระหว่างคนซื้อกับผู้ขายเท่านั้น โดยถ้าเป็นการนำสินทรัพย์หลายอย่างไปขายฝากไว้พร้อมกัน ก็บางทีก็อาจจะเลือกแบ่งไถ่เพียงแค่เงินบางสิ่งบางอย่างออกมาก่อน
แต่ว่าถ้าเกิดเป็นสินทรัพย์ชิ้นเดียว ก็จำเป็นต้องมาดูกันว่าสามารถแบ่งไถ่ได้หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น ที่ดิน ถ้าเกิดช่วงแรกได้ขายฝากไว้เพียงแค่แปลงเดียว แต่ในเวลาต่อมาได้มีการแยกที่ดินผืนนั้นออกเป็นหลายแปลงแล้ว ดังนั้นก็สามารถที่จะแบ่งไถ่ออกไปได้
ดังเช่นว่า ที่ดินที่ขายฝากถูกแบ่งออกมาจากกันเป็น 5 แปลง ก็อาจแบ่งไถ่มาสัก 2 แปลงก่อนนั่นเอง ต่อไปนี้ก็พอจะเข้าหัวใจเกี่ยวกับการแบ่งไถ่จากขายฝากแล้วใช่ไหมเอ่ย โดยเหตุนี้คนไหนกันแน่ที่ขายฝากทรัพย์สินเอาไว้ และไม่มีเงินไถ่ถอนทีเดียวทั้งหมดก็ไม่จำเป็นต้องกลุ้มใจ โดยสามารถแบ่งไถ่เท่าที่ตัวเองไหวได้เลย
สิทธิ์ไถ่คืน การไถ่ทรัพย์สินคืนหรือการซื้อกลับ เป็นสิทธิ์ของผู้จำนอง ดังต่อไปนี้ สินไถ่เป็น จำนวนเงินที่คนขายฝากจะต้องเอามาจ่ายให้แก่ผู้รับซื้อฝาก เพื่อขอไถ่เอา สมบัติพัสถานคืนซึ่งบางครั้งอาจจะตกลงเอาไว้ในคำสัญญาขายฝากหรือไม่ได้ตกลงไว้ก็ได้ รวมทั้งสินไถ่ควรจะเป็นเงินเสมอ จะไถ่คืนกันด้วยเงินทองอันอื่นมิได้
2. ระยะเวลาการไถ่คืนทรัพย์สินที่ขายฝาก
2.1 วิธีขายฝากอสังหาริมทรัพย์ ต้องกำหนดไถ่คืนกันภายในเวลาไม่เกิน 10 ปี
2.2 การขายฝากสังหาริมทรัพย์ ต้องกำหนดไถ่คืนกันภายในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี การไถ่คืนทรัพย์สมบัติคืนมีข้อตรึกตรองดังต่อไปนี้
3.1 ต้องไถ่ด้านในตั้งเวลาที่ตกลงกันไว้ จะไถ่เมื่อเกินกำหนดระยะเวลามิได้ รวมทั้งเจ้าของในสินทรัพย์จะเป็นของคนซื้อฝากอย่างเด็ดขาด ผู้ขายฝากหมดสิทธิการไถ่คืน
3.2 ขยายกำหนดเวลาไถ่สินทรัพย์คืนสามารถทำเป็น ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ลงชื่อคนรับไถ่ บุคคลที่มีสิทธิไถ่สินทรัพย์ที่ขายฝากคืนได้
4.1 คนขายฝากหรือผู้สืบสกุลของผู้ขายฝาก
4.2 ผู้รับโอนสิทธิการไถ่คืนทรัพย์สินคืน
4.3 บุคคลซึ่งในข้อตกลงยอมไว้โดยเฉพาะว่าให้เป็นผู้ไถ่ได้ บุคคลที่มีสิทธิให้ไถ่คืนได้
5.1 คนรับซื้อฝากหรือถ้าผู้รับซื้อฝากเสียชีวิตก่อนถึงกำหนดเวลาไถ่ คนขาย ฝาก จำต้องไปขอไถ่จากผู้สืบสกุลของผู้รับฝาก
5.2 คนรับโอนทรัพย์สินที่ขายฝากนั้น จากผู้ซื้อฝากเดิมดอกผลของสินทรัพย์ ที่ขายฝากที่เกิดขึ้นในระหว่างแนวทางการขายฝากดอกผลของทรัพย์สินที่ขายฝากซึ่งเกิดขึ้นใน ระหว่างวิธีขายฝากย่อมตกเป็นของผู้ซื้อฝาก ค่าธรรมเนียมตอนลงนามขายฝาก คนซื้อฝากเป็นผู้ออกค่าธรรมเนียม
ครอบครองโดยปรปักษ์กฎหมายได้บัญญัติในเรื่องการครอบครองที่ดิน โดยยิ่งไปกว่านั้นการมีไว้ในครอบครองคู่แข่ง คือ การหมดสิทธิในเงินของตนโดยการถูกผู้อื่น แย่งการครอบครองหรือ ในทางกฎหมายเรียกว่าอายุความได้สิทธิ เป็นการที่บุคคลอื่นจะได้สิทธิ์ หรือ
กรรมสิทธิ์ในเงินทองของพวกเราโดยการครอบครอง ทั้งนี้โดยชอบด้วยกฎหมายแพ่งและ การขายระบุไว้ว่าบุคคลใด ถือครองทรัพย์สินของบุคคลอื่นไว้โดยสงบรวมทั้งโดยชอบ แล้วก็โดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเกิดเป็นอสังหาริมทรัพย์ซึ่งได้เป็นเจ้าของติดต่อกันตรงเวลา 10 ปี
หากเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี ถือว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์ในเงินทองนั้น หลักเกณฑ์ที่การครอบครองปรปักษ์
1. ครอง หมายความว่าการเข้ายึดมั่นทรัพย์สิน ตัวอย่างเช่น เข้าไปทำประโยชน์ในทรัพย์สินปลูกพืช เลี้ยงสัตย์ในเรือกสวน ไร่ นา ถือว่าได้เป็นเจ้าของเรือกสวน ไร่ ท้องนา นั้นแล้วฯลฯ
2. เงินของคนอื่นๆ หมายความว่าเงินทองที่เข้าของมีสิทธิอยู่ รวมทั้ง ในกรณีที่ดินควรจะเป็นที่ดินมีโฉนด หรือ ยี่ห้อจองเพียงแค่นั้น
3. โดยสงบ คือการมีไว้ในครอบครองโดยไม่มีการข่มขู่ การใช้กำลัง การคดโกง รวมทั้ง ไม่มีใครห้ามกัดกัน แสดงความเป็นเจ้าของ หรือ ฟ้องศาลขับไล่ไสส่ง
4. โดยเปิดเผย เป็นการมีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้หลบซ่อน ปิดบัง หรือ อำพรางใดๆก็ตาม
5. ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ เป็นการมีไว้ในครอบครองโดยจงใจตั้งมั่นที่จะเป็นเจ้าของเงินทองนั้น ไม่ใช่ถือครองแทนคนอื่น
6. ครอบครองต่อเนื่องกันเป็นเวลา 10 ปี ความหมายถึงที่ดิน รวมถึงเงินที่ใกล้กับที่ดิน ตัวอย่างเช่น อาคารบ้านเรือน อาคารวัตถุถาวรหมายเหตุ การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนที่ดิน ซึ่งถูกแย่งการมีไว้ในครอบครอง จะต้องฟ้องข้างใน 1 ปี นับตั้งแต่ถูกแย่งการครอบครอง มิใช่ตั้งแต่แมื่อ ที่เจ้าของที่ดินทราบเรื่อง
ครอบจำนำสิทธิจำนำครอบเงินทองซึ่งจำนองแค่ไหน
1. สิทธิจำนองครอบทรัพย์สินซึ่งจำนำในเงินทุกสิ่งทุกอย่าง
จำนำย่อมครอบไปถึงบรรดาทรัพย์สินซึ่งจำนองหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แม้จะได้จ่ายและชำระหนี้แล้วบางส่วน
กรณีเอาเงินหลายสิ่งมาจำนำเป็นประกันหนี้สินรายเดียวกันหรือกรณีจำนองที่ดินแล้วถัดมามีการแบ่งแยกโฉนดออกเป็นหลายโฉนด ถึงแม้ว่าจะมีการใช้หนี้ใช้สินจำนองบางส่วนและจากนั้นก็ตาม
สิทธิจำนำย่อมครอบไปถึงเงินทองทุกรายการหรือทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่จำนำ ยกเว้นจะมีการตกลงเป็นอย่างอื่น ด้วยเหตุดังกล่าว หากมีลูกหนี้สินจำนองขอใช้หนี้นิดหน่อยเพื่อให้สินทรัพย์ที่จำนำบางสิ่งปลอดจำนำ ย่อมเป็นสิทธิของผู้รับจำนำว่าจะสารภาพหรือไม่ก็ได้
ตัวอย่าง ตัวอย่างเช่น เชลย เป็นหนี้เป็นสินจำนวน 42,000,000 บาทเศษ ถึงแม้ใช้หนี้ใช้สินไปแล้วจำนวน 1,300,000 บาท การจำนองก็ยังคงครอบไปถึงที่ดินที่จำนองทุกแปลง เว้นแต่ว่าผู้รับจำนองยินยอม ก็สามารถปลอดจำนองที่ดินแปลงนั้นได้ โดยเหตุนี้ การที่ใช้หนี้ใช้สินจึงควรยอมรับผิดเพียงบางส่วน เพื่อให้ที่ดินปลอดจากจำนำ ย่อมเป็นสิทธิที่จะยอมรับไหม แต่ว่าหากไม่ยินยอม ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะบังคับให้ยอมอันเป็นการฝืนกฎต่อข้อบังคับได้
จำเลยในคดีนี้เป็นโจทก์ในอีกคดีหนึ่งฟ้องบริษัท ส.ขอให้บังคับจำนำที่ดินหลายแปลงซึ่งรวมถึงที่ดินในคดีนี้ ที่บริษัท ส. เป็นลูกหนี้อยู่ เมื่อโจทก์เป็นผู้ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่แยกออกมาจากบริษัท ส. ที่จำต้องเผชิญภัยหมดสิทธิสำหรับเพื่อการที่จะได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินถ้าหากปล่อยให้บังคับคดี
โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะเข้าจ่ายและชำระหนี้ให้จำเลยแทนบริษัท ส. ได้ตามกฎหมายแม้กระนั้นแม้ว่าจะมีการไถ่คืนจำนองไปเล็กน้อยแล้ว เงินซึ่งจำนำทั้งปวงที่เหลืออยู่ก็ต้องเป็นรับรองการจ่ายและชำระหนี้ตามข้อตกลงจำนำของเงินปริมาณทั้งผองที่ค้างอยู่
เมื่อหนี้จำนำที่บริษัท ส. มีต่อเชลยยังเหลืออยู่อีก 5,396,629.37 บาท แม้กระนั้นมีที่ดินเหลืออยู่เพียงแต่แปลงเดียวการถอนถอนจำนำ ก็ต้องชำระหนี้ทั้งหมดที่บริษัท ส.เป็นหนี้เชลยอยู่ โจทก์จะบังคับให้จำเลยรับใช้หนี้ไถ่ถอนจำนองเพียง 386,788.60 บาท ไม่ได้