สปอย แสงกระสือ 2

สปอย แสงกระสือ 2

สปอย แสงกระสือ 2

สปอย แสงกระสือ 2 ยังได้ทีมนักแสดงระดับคุณภาพเกินกว่าคุณภาพของหนังโดยแท้ นักแสดงทุกคนต่างถ่ายทอดบทบาทของตัวเองได้ดีทุกคน แต่ในเมื่อบทหนังและการเล่าเรื่องที่ไม่ส่งเสริมกันและกัน ทำให้องค์ประกอบการแสดงก็ไม่สามารถช่วยพยุงตัวหนังเอาไว้ “เจเจ กฤษณภูมิ” กับ “นิ้ง ชัญญา” แสดงดีแต่กลับยังไม่โดดเด่นที่สุดแบบที่ควรจะเป็น

ในขณะที่ “น้อย กฤษดา” กับ “ปีเตอร์ นพชัย” เรียกได้ว่าเป็นนักแสดงชายตัวท็อปที่ใคร ๆ ก็นึกภาพออก แต่การมาของพวกเขาในหนังเรื่องนี้กลับถูกบดบังราศีตามความไม่สมเหตุสมผลของหนัง ส่วนอีกหนึ่งหนุ่ม “เอม ภูมิภัทร” คนนี้คือรุ่นใหม่ที่มาแรงสุด ๆ เขายังคงมอบการแสดงที่ไม่ผิดหวัง เพียงแต่การมาอยู่ของเขาในหนังเรื่องนี้ออกจะผิดที่ผิดทาง และหนังทำให้เขาดูกลืนไปกับจอเลย

ดังนั้นโดยสรุปแล้ว คงจะต้องบอกว่า แสงกระสือ 2 เป็นหนังภาคต่อที่ไม่จำเป็นจะต้องมีภาคต่อก็ได้ แสง กระสือ 2 เพราะต้นฉบับก็ทำเอาไว้ค่อนข้างดีมาก เมื่อนำมาต่อเติมเสริมแต่งอีกในครั้งนี้ หลาย ๆ องค์ประกอบยังไม่สามารถฝ่าด่านไปได้ถึง โดยเฉพาะการเล่าเรื่องและขุดแก่นสารของหนังที่ยังค่อนข้างไร้น้ำหนักไปเสียหน่อย ปล่อยให้ผู้ชมนั่งดูอะไรที่แทบจะไม่ได้นับคำอธิบายที่จริงจัง ทิ้งเอาไว้ให้เต็มไปด้วยคำถามเยอะไปหมด ซ้ำแล้วบทสรุปยังทิ้งเอาไว้ด้วยความไม่เคลียร์ใด ๆ เลย

เหล่าคาแรกเตอร์น่าสนใจ ที่ถูกบอกเล่าออกมาอย่างน่าเสียดายเนรมิตรหนัง ฟิล์ม” จับมือ “ทรานส์ฟอร์เมชั่น ฟิล์ม” ปลุกชีพ “กระสือสาว 2023”  สู่ “แสงกระสือ 2”
ในแสงกระสือทั้งสองภาค มีคาแรกเตอร์ที่เป็นตัวแทนของ Mentor ที่ช่วยชี้ทางให้ตัวเอก หรือแก้ปัญหาบางอย่าง ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง – ภาคแรกคือ พระ (พุทธ) ส่วนภาคสองคือ บาทหลวง (คริสต์) ซึ่งน่าคิดว่าทำไมหนังถึงใช้บาทหลวงมาเป็น ‘ภาพแทน’ ของคนที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาเรื่องอาการกระสือ หรือจะสืบเนื่องจากที่ภาคนี้ ความเป็นกระสือถูกมองว่าเป็น ‘โรค’ หรือ ‘ปรสิต’ ตามกรอบแว่นทางวิทยาศาสตร์ ทีมผู้สร้างจึงเลือกตัวละคร ‘ฝรั่ง’ มาเพื่อสะท้อนภาพเหมารวมบางอย่างตามมุมมองของคนไทย ที่มักคิดว่า “ชาวต่างชาติ = ความก้าวหน้า” ก็เป็นได้

แต่อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่มวลไอเดียของตัวละครฝั่งวิทยาศาสตร์นี้ไม่ได้ถูกเกลี่ยให้เข้าที่เข้าทาง แถมยังตามมาด้วยการปูเรื่องอย่างยุ่บยั่บ โดยที่สุดท้ายก็ไม่ได้นำพาไปสู่อะไร มีเพียงบทพูดแปลกประหลาดบางอย่าง เช่น ในซีนอารมณ์หนึ่ง ตัวบาทหลวงพูดว่า “พวกแก (ลูก) ก็เป็นหนึ่งในโปรเจกต์ของพ่อ” โดยไม่มีที่มาที่ไป หรือปราศจากการเล่าเรื่องต่อยอด เป็นต้น

และก็ยิ่งน่าเสียดายมากๆ กับตัวละคร อนันต์ (เอม-ภูมิภัทร ถาวรศิริ) ที่ปูมาว่าเป็นลูกชายของบาทหลวง (น่าจะลูกบุญธรรม) และเป็นพี่ชายที่คอยดูแลคลาว จนสุดท้ายถูกส่งไปเรียนหมอที่ต่างประเทศ ด้วยความตั้งใจที่จะไปศึกษาเรื่องมนุษย์ผิวเผือกเพื่อเข้าใจน้องชายตัวเอง รวมถึงเรื่องพลังพิเศษที่น้องมี แต่ผ่านไปสิบปี อนันต์กลับมาแล้วก็ยังไม่ได้คำตอบอะไร แถมไม่ได้มีซีนให้เขาได้แสดงองค์ความรู้ที่อุตส่าห์ไปร่ำเรียนมา ทั้งที่หนังอุตส่าห์ปูความน่าสนใจของตัวละครนี้มาเสียยาวเหยียดในตอนต้น

หรือในฝั่งของตัวละครที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับไอเดียทางวิทยาศาสตร์ ตัวละครหลายตัวก็เหมือนถูกนำเข้ามาในหนังเพื่อถมเรื่องให้เต็ม เช่น ตัวละครนายทุนฝรั่งที่ไม่ได้ถูกให้เหตุผลว่ามีเข้ามาเพื่อนำไปสู่อะไร หรือแม้แต่ต้องการกระสือไปทำอะไร และมีสถานะเป็นแค่ตัวละครที่มาคอยชี้นิ้วสั่งตัวร้ายเฉยๆ (ทั้งที่จริงๆ ตัวร้ายก็มีจุดประสงค์หลักที่ชัดเจนกับกระสืออยู่แล้ว) การมีอยู่ของตัวละครนี้จึงกลายเป็นหนึ่งใน ‘ส่วนเกิน’ ของหนังไปโดยปริยาย

พลังทางการแสดง ที่แบกความน่าเชื่อถือของหนังทั้งเรื่อง

แต่จากคาแรกเตอร์ทั้งหมดที่กล่าวไป #แสงกระสือ2 เราคงต้องขอชื่นชมพลังของนักแสดงที่ถ่ายทอดออกมาได้ดีมากๆ ในพาร์ตของตัวเองทุกคน (ขอย้ำว่าทุกคนจริงๆ) แม้ว่าบทหนังจะไม่ช่วยส่งให้เราได้เห็นถึงพัฒนาการของตัวละครต่างๆ เลยก็ตาม

อย่างเช่น น้อย วงพรู ผู้รับบทเป็นน้อย ที่ทำให้เราเชื่อได้สนิทใจว่า เขาคือพ่อที่พยายามทุ่มสุดตัวเพื่อปกป้องลูก พร้อมความรู้สึกผิดบาปในใจที่ทำให้ลูกต้องมารับกรรมพิษกระสือจากตัวเอง หรือ นิ้ง ชัญญา ที่ถ่ายทอดการแสดงตัวละครออกมาจนทำให้เราเชื่อได้ว่า เธอเป็นหญิงสาวที่ทุกข์ทรมานจากการเป็นกระสือ และทำให้เรารู้สึกกลัว เมื่อเธอเข้าโหมดบ้าคลั่งยามกลายร่าง

แต่ที่เซอร์ไพรส์สุดๆ เห็นจะเป็นโมเมนต์ที่เธอเข้าซีนคู่กับ เจเจ กฤษณภูมิ เพราะมนตร์เสน่ห์บางอย่างจากการแสดงของทั้งสองคนได้ช่วยสร้างมวลความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครให้มีความพิเศษขึ้นมาก จนเราอยากเห็นพวกเขาเล่นคู่กันอีกในโอกาสต่อๆ ไป

ประเด็นแรกก่อนเลยสิ่งที่ทำให้ ‘แสงกระสือ 2’

ดูมีความน่าสนใจและให้ภาพที่ต่างจากหนังภาคแรกแจ่มชัดที่สุดคือการเดินเรื่องภายใต้สังคมสยามที่ฝรั่งเป็นใหญ่ เดาเอาว่าน่าจะเป็นยุคสงครามเวียดนามหรืออะไรเทือกนี้ โดยในหนังมี 2 ตัวละครสำคัญคือบาทหลวงออกัสตินและนายทุนฝรั่ง ซึ่งในกรณีของบาทหลวงออกัสตินยังมีที่ทางให้คือเป็นคนสกัดยาจากว่านกระสือและเป็นคนเลี้ยงดูคล้าว

แต่ตัวนายทุนฝรั่งถูกใส่มาแบบงง ๆ ว่าจะมาเพื่ออะไร ต้องการกระสือไปทำโชว์หรืออะไรหรือไม่ ยิ่งในบทสรุปแล้วพอหนังจะดำเนินรอยตามหนังภาคแรก การมีอยู่ของนายทุนฝรั่งเลยกลายเป็นส่วนเกินโดยปริยาย นอกจากนี้หนังยังทำให้ตัวละครที่ดูเหมือนจะมีประเด็นสำคัญของเรื่องอย่าง อนันต์ ที่รับบทโดย ภูมิภัทร ถาวรศิริ

โดยหนังปูให้ตัวละครอนันต์เป็นลูกบุญธรรมบาทหลวงออกัสตินและคอยดูแลคล้าวตั้งแต่เขายังเด็ก พอกลับมาไทยในฐานะนักวิจัยทางการแพทย์หนังยังไม่ให้โอกาสเขาในการแสดงสิ่งที่เรียนมาเลยจนน่าเสียดายที่แม้แต่ตัวละครที่ถูกสร้างมาน่าสนใจถูกทิ้งขว้างแบบนี้ ประเด็นต่อมาคือการไม่เล่าที่มาที่ไปของปรากฎการณ์ในหนัง ใช้เงื่อนไขต่างจากหนังภาคแรกเพราะในขณะที่เดิมหนังเล่าเรื่องในหมู่บ้านห่างไกลช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และมันเอาเรื่องความกลัวกระสือมาผูกโยงกับภาวะความเป็นอื่นของวัยรุ่น โดยมีผู้นำชุมชนและชาวบ้านที่ต้องการล่าแม่มดเป็นเงื่อนไขสำคัญของเรื่องรีวิว] แสงกระสือ 2 - เพิ่มหวาน ลดสยอง - #beartai

แต่ในหนังภาคนี้มันกลับเลือกตัดประเด็นดังกล่าวทิ้ง ซึ่งมองว่ากล้าหาญนะครับ แต่ในเมื่อตัวละครนายทุนฝรั่งเองหนังก็ไม่อธิบายว่ามาทำธุรกิจชั่วอะไรที่เมืองไทยบ้างนอกจากซื้อเด็กชาวเขาจากพ่อแม่ มิหนำซ้ำหนังยังไม่ได้อธิบายเลยว่านายทุนต้องการเอากระสือไปทำอะไร จะเอาไปโชว์ในงานวัดหรืออย่างไร หรือแม้แต่ตัวบาทหลวงออกัสตินเองก็ยังมีประโยคตอนท้ายที่เปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยจนทำผู้ชมงงไปตาม ๆ กัน และยิ่งไปกว่านั้นตัวละครอย่างพันธุ์ที่ดูน่าจะมีที่มาที่ไปกลับถูกจัดวางมาเหมือนตัวสลับเรื่องกับความรักระหว่างสาวกับคล้าว

เพราะถึงแม้จะมีเรื่องประเด็นครอบครัวที่เขาต้องปกป้องหรือสัตว์ร้ายในตัว แต่หนังก็ให้พันธุ์ทำหน้าที่แค่มาล่ากระสือ ชักดิ้นชักงอ ไปรับงานสลับอดีตที่ไม่รู้ว่าใส่มาทำไมนอกจากจะอธิบายเรื่องอสูรในตัวของเขาเท่านั้นเองจนเสียดายฝีมือการแสดงของพี่ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม ที่อุตส่าห์ตีความตัวละครได้น่าสนใจหลายจุด มาถึงประเด็นสุดท้ายเรื่องพัฒนาการตัวละคร ที่แม้แต่ตัวละคร น้อย ที่รับบทโดยพี่น้อย กฤษดา เองเราก็ยังไม่รู้สึกว่านี่คือคนเดียวกับน้อยในหนังภาคแรก แม้การแสดงของพี่น้อยทำให้ตัวละครนี้มีมิติทั้งความผิดบาปที่ตัวเองเคยรับน้ำลายกระสือมาหรือความอ่อนล้าจากการที่ต้องเฝ้าสาวในยามวิกาลกระทั่งนำไปสู่บทสรุปสุดเดือดก็ยังมิอาจแบกหรืออุดช่องโหว่ให้หนังได้มากนัก

แสงกระสือ ภาคแรก ถือเป็นหนึ่งในปรากฎการณ์ของภาพยนตร์ไทยในขวบปีนั้น กับการนำเสนอเรื่องราวของผีพื้นบ้านในรูปแบบการตีความใต้นิยามคำว่าสัตว์ประหลาด ตัวหนังได้รับคำชมในหลายๆ พาร์ท #แสงกระสือ2 โดยเฉพาะการตีความเรื่องผีๆ พร้อมแจ้งเกิดดารานำฝ่ายหญิงน้อง มินนี่ อย่างเต็มตัว จึงไม่แปลกที่แสงกระสือ 2 จะถูกคาดหวังมากกว่าเดิม และแม้ท้ายที่สุดแม้จะเอาตัวรอดจากคำว่าหนังแย่ไปได้ แต่เมื่อเทียบกับบาร์ที่ภาคแรกเซ็ตไว้ ก็ต้องยอมรับตรงๆ ว่า แสงกระสือ 2 ดรอปลงพอสมควร

แต่เอาเข้าจริงจะเทียบตรงๆ ก็คงไม่ถูกนัก เพราะภาคแรกกับภาค 2 หนังมาคนละอารมณ์เลย ภาคแรกจะมีกลิ่นของแอคชั่นและเฮอเร่อที่เด่นชัดกว่า มันจึงเรียกอดรีนาลีนจากผู้ชมให้ลุ้นได้แทบจะตลอดเรื่อง แสงกระสือ 2 ก่อนจะตบท้ายด้วยไคลแมกซ์อันเป็นซีนแอคชั่นที่มีเรื่องให้ไฮป์มากมาย ผิดจากภาค 2 ที่ขอเดินคนละเวย์ชัดเจน ตัวหนังชูเรื่องของความรักระหว่างคนที่ถูกตราหน้าว่าแปลกประหลาดพร้อมแตกประเด็นไปถึงผลกระทบต่อคนรอบข้าง ซึ่งมันยากเกินกว่าแค่คำพูดว่ามักง่ายที่ว่า “ขอแค่เรามีกันและกันใครมันจะทำไม”

ดังนั้น แสงกระสือ 2 จึงมาเวย์ของหนังรักชัดเจน ซีนแอคชั่นน้อยกว่าภาคแรก ซีนหลอนน้อยกว่าภาคแรก มันไม่พยายามจะทำให้คนดูตื่นเต้นด้วยซ้ำแม้ในขณะที่กระสือกำลังถอดหัว เดินเรื่องโดยจังหวะที่ช้ามากๆ แต่ก็เปิดประเด็นใหม่ขึ้นมามากมาย ซึ่งมันคงไม่ได้ตะขิดตะขวงอะไร หากมันสามารถเคลียร์ตัวเองได้หมด ทว่าก็ไม่ใช่ และทั้งๆ ที่หนังก็ให้เวลา 2 ตัวเอกเยอะมาก แถมทั้งเจเจและนิ้งก็เล่นได้ดี ทว่ากลับยังซื้อผมได้ไม่เท่าไหร่ แต่ส่วนนี้ก็ค่อนข้างปัจเจก เพราะคนที่นั่งด้านหลังผมก็ดูจะอินไม่เบา

แสงกระสือ 2 ไม่ใช่หนังที่แย่เลย มันชัดเจนในตัวมัน ซื่อตรงต่อสิ่งที่พยายามจะสื่อ แต่ติดตรงที่เหมือนจะยังไม่สุด และภาคแรกก็เซ็ตบาร์ไว้ซะสูง แม้จะไม่อยากให้เอามาเทียบกันตรงๆ ก็ตามเพราะอย่างที่อยากย้ำว่าหนังมันคนละแนวกันเลย แม้กระนั้นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของมันก็ยังคงเป็นไอเดียหลักกับการตีความผีพื้นบ้านไทยให้เป็นมอนสเตอร์เป็นปรสิตที่ถูกต่อยอด และขยายความอย่างแข็งแรงจนอยากจะเชียร์ให้มีเวิร์สของตัวเอง หรืออย่างน้อยๆ ให้มีภาค 3 ที่จะใช้ไอเดียนี้อย่างจริงจังก็น่าสนใจไม่น้อยอยู่เหมือนกัน

จะเรียกว่าเป็นผลงานสร้างความเซอร์ไพรส์และน่าติดตามในเวลาเดียวกันเลยก็ว่าได้กับการทำโปรเจกต์ภาคต่อจากภาพยนตร์กระแสแรกในปี 2019 อย่าง ‘แสงกระสือ’ ที่ถูกพูดถึงความดีงามกันปากต่อปากจนเป็นหนังม้ามืดในปีนั้น และในปีนี้ก็มีการสร้างภาคต่ออย่าง ‘แสงกระสือ 2’ ที่ครั้งนี้ปรับโฉมสู่การเป็นโฉมสู่ภาพยนตร์มอนสเตอร์ไทยเต็มรูปแบบ แสงกระสือ 2 วันนี้ Space Review จะมาพูดถึงความรู้สึกหลังมีโอกาสได้รับชมรอบสื่อของภาพยนตร์เรื่องนี้กันครับ

‘แสงกระสือ 2’ จะเป็นเรื่องราวหลังจากโศกนาฏกรรม ‘กระสือสาย บ้านโคกอีนวล’ ผ่านไป 22 ปี ‘น้อย’

(แสดงโดย น้อย-กฤษดา แคลปป์) เลี้ยงดู ‘สาว’ (นิ้ง-ชัญญา แม็คคลอรีย์) ลูกสาวที่ได้รับเชื้อกระสือ ทำให้ น้อยและ ‘บาทหลวงออกัสติน’ (โจ คัมมินส์) ร่วมคิดค้นตัวยาที่สกัดจาก ‘ว่านกระสือ’ เพื่อใช้ในการรักษา สาวได้พบกับ ‘คล้าว’ หรือ ‘คลาว’ โดยบังเอิญ (เจเจ-กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม) บุตรบุญธรรมของบาทหลวงออกัสติน ที่มีความผิดปกติทางร่างกายแต่กำเนิด ความรักของสาวและคล้าวค่อยๆ ผลิบานพอๆ กับเชื้อร้ายในตัวของสาวที่เริ่มออกอาการมากขึ้นทุกวัน นักลงทุนชาวต่างชาติที่ต้องการตัว ‘กระสือสาว’ จึงว่าจ้าง ‘พันธุ์’ (ปีเตอร์-นพชัย ชัยนาม) อดีตทหารรับจ้างเพื่อมาไล่ล่า สาวจะรอดพ้นเงื้อมมือของพันธุ์ได้หรือไม่ ร่วมเอาใจช่วยเขาและเธอได้

ความรู้สึกหลังรับชมแสงกระสือ 2
ต้องบอกกันตามตรงว่า แสงกระสือ 2 เป็นผลงานที่มีทั้งส่วนดีและส่วนที่ต้องปรับปรุงพอสมควรสำหรับเรื่องนี้ในแง่เป็นภาคต่อของหนังม้ามืดในปี 2019 ที่เคยทำออกมาได้ดีมากๆ ขอพูดถึงส่วนที่ดีของเรื่องนี้กันก่อน สำหรับแสงกระสือ 2 ยังคงเล่นกับประเด็นของความรักต่างสายพันธุ์และพูดถึงเหล่าบุคคลที่เหมือนตัวประหลาดในสังคม

moonbigpapi