Kingdom Ashin of the North (2021) พากไทย

Kingdom Ashin of the North (2021) พากไทย

Kingdom Ashin of the North (2021) พากไทย

Kingdom Ashin of the North (2021) พากไทย อย่างเดียวในชีวิตคือการทวงแค้นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของอาคุ้นชินดูเหมือนจะจบแล้ว มีอย่างเดียวที่เหลือคือ “แก้แค้น” อาชินก็เลยไปหารองแม่ทัพแห่งชูพาจิน เพื่อร้องขอในสิ่งที่คุณต้องการ “ช่วยชำระแค้นให้คุณพ่อของเราด้วย ท่านพ่อของเราซื่อสัตย์ภักดีต่อโชชอนมาตลอดชีวิต หากแม้ท่าน (รองแม่ทัพที่ยกพาจิน) จะมอบตำแหน่งขุนนางให้ท่านบิดาไม่ได้ แต่ว่าหัวข้อนี้ท่านน่าจะทำให้ท่านได้ ไม่ว่าอีกกี่ปีสิบปีหรือยี่สิบปี ถ้าหากท่านทำให้พวกมันร้องไห้ท่วมออกมาเป็นสายโลหิตได้ เท่านั้นเราก็พึงพอใจแล้ว จะให้เราทำอะไรก็ได้ ให้เราเป็นสายลับเราก็จะเป็น หรือแม้กระทั้งดำเนินงานที่ต่ำต้อชูว่านั้นเราก็ทำได้ ขอเพียงแค่ล้างแค้นให้คุณพ่อของข้า” สาวน้อยอาชินคุกเข่าซึ่งๆหน้ารองแม่ทัพที่ยกพาจิน เพื่อวิงวอนความมั่นหมายอย่างเดียวที่เหลือในชีวิตรองแม่ทัพแห่งชูพาจินให้อาชินอาศัยอยู่ในคอกหมูภายในค่ายทหาร ระหว่างนั้นคุณก็รับหน้าที่ทั้งที่ยังไม่ตายสายลับสืบหาข่าว ทำแผนที่ในดินแดนของพาหน้าจอวี ตอนที่อยู่ในค่ายก็เก็บขี้หมู ลากเกวียนเพื่อนำผ้าของเหล่าทหารไปซัก  Kingdom Ashin of the North (2021) เป็นเธอทำทุกๆอย่างโดยไม่พูดร้องขอหรือโอดครวญอะไรสักคำ ไม่แม้กระทั้งจะกลายเป็นข้าทาสกามารมณ์ของทหารจอมหื่นในค่าย อาคุ้นชินไม่เคยเปิดปากออกมาสักคำเลยจริงๆเนื่องจากว่าเป้าหมายเดียวในชีวิตนี้คือ “ทวงแค้น” !วันเวลาผ่านไปนานนับเป็นเวลาหลายปี อาชินโตเป็นสาวแล้ว แม้กระนั้นชีวิตของเธอก็ยังคงดังเดิม ทุกสิ่งยังคงอย่างเดิม สายลับ สืบ เล้าหมู ลากเกวียนซักผ้า ถูกฝืนใจ มีเพียงอย่างเดียวที่แปรไป นั่นเป็นสกิลการยิงธนูที่ปรับปรุงไปเป็นระดับพระรอยแดง เมื่อครั้งไหนที่ลูกออกมาจากคันธนูมันไม่เคยพลาดเป้ากระทั่งวันหนึ่ง อาชินได้เข้าไปสอดแนมในค่ายทหารพาหน้าจอวี คุณได้บังเอิญไปพบท่านพ่อในภาวะที่ผู้เป็นลูกได้มองเห็นไม่อาจจะทานทนกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ท่านพ่อโดนพวกมันจับตัดแขนตัดขา ปลดปล่อยให้นอนอยู่บนดินโดยมีโซ่ข้อใหญ่ล่ามเอาไว้ ต้องการจะตายก็ตายมิได้ ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างงั้นอาคุ้นชินเพียรพยายามเข้าไปช่วยท่านบิดา แต่ว่าโซ่ที่ล่ามท่านบิดาเอาไว้มันแข็งแรงเกินกว่าที่เธอจะทำอะไรได้ แล้วเสียงของท่านบิดาก็กล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา “อาเคยชิน ฆ่าเราครั้ง เราพอแล้ว” อาเคยชินกอดพ่ออยู่แบบนั้นนานเท่าที่คำร้องขอของท่านพ่อจะเอ่ยออกมาขอให้สิ้นชีวิตเขาอีกครั้ง แล้วคุณก็ทำตามมุ่งมาดปรารถนาของท่านบิดาเป็นครั้งสุดท้าย

A BEAUTIFUL DAY IN THE NEIGHBORHOOD

หลายท่านอาจจะไม่รู้จักชายที่ชื่อว่า เฟร็ด โรเจอร์ส เขาคือผู้ดำเนินรายการเจ้าของรายการเด็กที่ครอบครองใจผู้ชมอเมริกันมานานกว่าหลายทศวรรษในนาม มิสเตอร์โรเจอร์ส ที่ภาพจำของเขาเป็นผู้ชายใจดี มีจริยธรรม เป็นภาพลักษณ์ของคุณความดีในแบบที่อเมริกายึดถือโดยแท้จริง และเด็กๆทุกคนที่โตมาในขณะของเขาต่างก็รักเขาทั้งหมด (เสนอแนะให้ทดลองหาสารคดี Won’t You Be My Neighbor?

มาดูถ้าหากอยากทราบจักเขามากขึ้นเรื่อยๆ) เรื่องราวในหนังประเด็นนี้ไม่เชิงว่าเป็น ภาพยนตร์ประวัติบุคคลของ มิสเตอร์โรเจอร์ส ถ้าหากแต่ด้วยเรื่องราวของ ลอยด์ โม้เกิล นักเขียนจากนิตยสารชั้นนำอย่าง Esquire ที่ได้รับหน้าที่ให้ไปสัมภาษณ์ เฟร็ด โรเจอร์ส ซึ่งตาลอยด์ ขึ้นชื่อมากมายในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่มุมมองด้านมืดของคนที่เขาไปสัมภาษณ์

และแน่ๆว่ากับชายที่แสนดีเยี่ยมที่สุดในอเมริกาเขาก็พยายามทำอย่างงั้นถ้าเกิดแต่เป็นตัวผู้สัมภาษณ์เองต่างหากที่กำลังถูกโรเจอร์สค้นหาเสียมากกว่า ออกจะเซอร์ไพร์สมากมายสำหรับหนังหัวข้อนี้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวโดยล้อกับรูปแบบรายการของมิสเตอร์ โรเจอร์ส แต่ว่าจากรายละเอียดเด็กเปลี่ยนเป็นสะท้อนชีวิตของผู้คนผู้เต็มไปด้วยเงื่อนส่วนตัว เหตุผลส่วนตัว

หรืออารมณ์ส่วนตัวซึ่งแต่ละคนก็มีวิธีการแสดงมันออกมาไม่เหมือนกัน แม้กระนั้นสิ่งพวกนี้เองก็ทำให้เราทุกคนเป็นมนุษย์ เหมือนกับเดียวกับ มิสเตอร์โรเจอร์ส ที่เค้าก็ทราบว่าตนเองมิได้สมบูรณ์แบบ แต่ว่าเขาเพียงแค่มีแนวทางจัดการกับมัน ซึ่งในส่วนนี้ถ่ายทอดรวมทั้งเล่าออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมมากมายๆอย่างที่บอกไปว่านี่ไม่ใช่หนังชีวิประวัติความเป็นมาถ้าแต่เป็นหนังดราม่าครอบครัว

ที่มีทัศนคติเชิงบวกอย่างประดิษฐ์และก็เติมพลังใจให้กับผู้ชม สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของหนังอาจหนีไม่พ้นการแสดงอันเยี่ยมยอด (อีกรอบ) จาก Tom Hanks ที่ถ่ายทอดความเป็นเฟร็ด โรเจอร์สได้อย่างละเอียดทั้งยังอาการ แววตา บุคลิกลักษณะเฉพาะ เสมือนมากมายจนกระทั่งขนลุก แต่ที่เสริมให้หนังยอดเยี่ยมกว่าก็คงเป็นอีก 2 ผู้แสดงอย่าง Matthew Rhys

ที่เล่นเป็น ลอยด์ โอ้อวดเกิล และก็ Chris Cooper ที่เป็นพ่อลอยด์ Kingdom Ashin of the North (2021) พากไทย คนข้างหลังมาน้อยแต่มาแต่ละครั้งเอาจริงเอาจังมากมาย หลายท่านบางทีอาจจะมีความคิดว่ามันเป็นหนังที่ว่าเรื่องราวผ่านรายการอเมริกันเราจะอินหรือไม่ จำเป็นต้องบอกเลยขอรับว่านั่นเป็นเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น ถ้าอยากได้หนังดราม่าที่ถ่ายทอดความเป็นมนุษย์ได้อย่างดียิ่ง เพิ่มเติมพลังใจแง่ดีให้พวกเราได้บ้าง ไม่อยากให้พลาดเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่งเลยครับผม

รีวิวหนัง Snowpiercer ยึดด่วนวันสิ้นโลก (2013) – แอคชันไซไฟพล็อตเลิศ สะท้อนข้อความสำคัญสังคมเชื้อเชิญให้ขบคิด

Snowpiercer (2013) ภาพยนตร์เสียดสีโลกทุนนิยม โครงเรื่องสุดล้ำ หนึ่งในผลงานสร้างชื่อระดับฮอลลีวูดของ บงจุนโฮ (Bong Jun Ho) ผู้กำกับชาวเกาหลีใต้ กับผลงานสร้างชื่อสำหรับเพื่อการกำกับหนังเรื่อง Parasite (2019) เป็นประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศเรื่องแรกที่ได้รับรางวัลภาพยนตร์เยี่ยมในเวทีออสการ์ โดย Snowpiercer (2013)

ก็มีจุดแข็งที่การติชมหัวข้อชนชั้นทางสังคมเช่นกัน Snowpiercer (2013) เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปีคริสตศักราช 2031 หลังจากความพยายามสำหรับในการระงับสถานการณ์โลกร้อนที่เข้าขั้นวิกฤต เมื่อปี 2014 ไม่ประสบผลสำเร็จ ทำให้โลกเข้าสู่สมัยน้ำเแข็งอีกทีและก็ทำลายสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก เหลือแค่เพียงรถไฟหัวจักรที่ชื่อว่า “สโนว์เพียซเซอร์” ที่เริ่มเดินทางรอบโลกอย่างไร้จุดมุ่งหมาย โดยใช้พลังงาน

“เครื่องจักรนิรันดร์” เป็นตัวขับฝ่าสภาพภูมิอากาศอันหนาวเย็น Kingdom Ashin of the North (2021) ล่าสุด แม้กระนั้นภายในขบวนรถไฟก็กำเนิดเป็นสังคมใหม่ ที่มีการแบ่งแยกชนชั้น ริดรอนสิทธิความเป็นมนุษย์ และการเปลี่ยนแปลงจากชนชั้นแรงงานกำลังจะอุบัติขึ้นนำแสดงโดย Chris Evans รับบทบาทเป็น Curtis Everett หัวหน้าทีมปฏิวัติ , Ed Harris รับบทบาท Wilford วิศแขนผู้ผลิตรถไฟ

“สโนว์เพียซเซอร์” , Tilda Swinton เล่นบท Mason พรรคพวกของ Wilford ปฏิบัติภารกิจบริหารจัดแจงความเรียบร้อยข้างในรถไฟขบวนนี้สมทบด้วย Song Kang-ho (จาก The Host 2006) เล่นบท Namgoong Min-soo ผู้ออกแบบกลไกประตูของขบวนรถไฟ และก็ Ko Ah-Sung (จาก The Host 2006) รับบทบาท Yo-na บุตรสาวตัวแสบของ Namgoong Min-sooสำหรับ

Snowpiercer ยึดด่วนวันสิ้นโลก (2013) เป็นหนังที่จับข้อความสำคัญความเหลื่อมล้ำด้านสังคมและก็ชนชั้นมาบอกกล่าวได้อย่างลึกซึ้ง ขึ้นชื่อว่าผู้กำกับ บงจุนโฮ แล้ว เชื่อมั่นได้ว่าการเล่าหนังของเขามีความเอาใจใส่ในรายละเอียด ซ่อนเร้นไปด้วยข้อคิด และสื่อถึงบริบทของหนังอย่างแจ่มแจ้ง เป็นต้นว่า การแบ่งคลาสของรถไฟที่มีตั้งแต่ว่า เฟิร์สคลาส ของเหล่าผู้มีสกุลสูง

ไปจนถึง ขึ้นฟรี ที่มีชีวิตแบบขัดสนอยู่ด้านหลังขบวน ย่อมเกิดความไม่เท่าเทียม เปรียบเหมือนสังคมโลกของเราที่มีการแบ่งชนชั้นตามฐานะบารมี เหล่าคนชั้นสูงรวยอำนาจ ดำเนินชีวิตอู้ฟู่ ตัดมาที่ชนชั้นกรรมกร สถานะเกือบจะไม่มีสิทธิความเป็นคน เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ซึ่งกลายมาเป็น Conflict ของเรื่อง แล้วก็เป็นต้นเหตุของการเริ่มต้นต่อสู้เพื่อปฎิวัติรถไฟแห่งชนชั้นขบวนนี้ความรู้สึกข้างหลังดู

ก็จะมีทั้งยังชอบและไม่ชอบ แน่ๆว่าความถูกใจย่อมมีมากยิ่งกว่า ด้วยการเล่าเรื่องที่มีชั้นเชิง ซีนอารมณ์ เพลงประกอบ ที่ใส่เข้ามาแบบถูกจังหวะ ไม่ย้ำเล่นดนตรีบิ้วท์ผู้ชม รวมทั้งความลุ้นระทึกต่างๆในเรื่องที่ดึงความพอใจได้อยู่หมัด อีกทั้งในซีนต่อสู้เลือดสาด ฉากต่อสู้ระหว่างทหารกับกรุ๊ปท้ายขบวน ที่บอกเลยซีนนี้ลุ้นจนนั่งไม่ติด รวมทั้งการเปิดเผยสิ่งที่อยู่ในโบกี้ต่างๆของรถไฟ

ทั้งในแบบที่โคตรตระการตา หรือในแบบที่ดูสุรุ่ยสุร่ายไร้สาระ รวมทั้งในแบบที่นึกไม่ถึง ซึ่งจำเป็นต้องสรรเสริญคนที่คิดอะไรแบบนี้มากๆเนื่องจากการจะทำหนังแนวนิยายวิทยาศาสตร์ล้ำๆเรื่องหนึ่ง จะต้องมี reference เพื่อสร้างความเป็นไปได้ แล้วเล่าออกมาให้น่าเชื่อตามได้ด้วยนี่โอเคมากๆรวมทั้ง MVP ของประเด็นนี้ ขอชูให้ เจ๊เมสัน รับบทโดย Tilda Swinton

การแสดงสุดแบบสุดจริงๆสุดทุกทาง แทบจะลืมไปเลย ว่าเธอคนนี้เป็น “แองเชี่ยนหมากวัน” จอมเวทย์มหารอยดำ จากมาร์เวล สตูดิโอส์… นางตีบทแตกกระจายได้ทุกคาแรคเตอร์จริงๆแม้กระนั้นเช่นไรแล้ว หนังก็มีแผลให้เห็นอยู่บ้าง ทั้งยัง CG บางช่วงที่มีลอยๆโดดๆทั้งยังพื้นเพชีวิตของผู้แสดงที่ยังเล่ากำกวม หรือเล่าน้อยไปหน่อย ทำให้บางซีนก็ไม่อินและไม่ติดอกติดใจเยอะแค่ไหนโดยรวมแล้ว Snowpiercer (2013)

เป็นหนังที่จำลองมนุษยชาติกลุ่มในที่สุด ที่ไม่ว่าโลกจะแตก ผู้คนจะตาย การแบ่งชนชั้นทางสังคม ก็ยังมีอยู่กับมนุษย์ไปทุกๆที่ บางบุคคลอาจมีความคิดว่า ผู้ที่ไม่ได้จ่ายก็ไม่มีสิทธิเรียกร้อง แต่ถ้าหากมองดูในแง่ความเป็นมนุษย์ คนทุกคนควรจะได้รับการกระทำอย่างเสมอภาค ตัวหนังทั้งยังจิกกัดแล้วก็เสียดสีสังคมในโลกระบบทุนนิยมอยู่ไม่น้อย ถือเป็นข้อความสำคัญสุดคลาสสิคที่บอกกล่าวสภาพสังคมตอนนี้ได้อย่างสมจริงสมจังที่สุด

กลับสู่หน้าหลัก https://moonbigpapi.com/