ชิน มาสค์ไรเดอร์
ชิน มาสค์ไรเดอร์ ฮอนโก ทาเคชิ ถูกลักพาตัวไปโดย “ช็อคเกอร์” องค์กรสุดชั่วร้าย และถูกดัดแปลงเป็นมนุษย์ดัดแปลง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการยึดครองโลก ก่อนที่พวกองค์กรร้ายจะล้างสมองให้เขาให้เป็นอาวุธที่ทำตามคำสั่ง เขาก็ได้หนีออกมา และใช้ความสามารถที่ได้รับการดัดแปลงเข้าต่อสู้กับความชั่วร้าย และทำลายล้างองค์กรช็อกเกอร์ ในฐานะ “มาสค์ไรเดอร์”
หนังไอ้มดแดง ฉบับอันโนะ จะมีความเป็นหนังสายลับ แอคชั่น ทริลเลอร์ และการร่วมมือกันของพระ-นาง ชิน มาสค์ไรเดอร์ ในการจับคู่ลุยแผนชั่วของช๊อกเกอร์ ที่ในเรื่องจะเป็นองค์กรลับที่ชักใยรัฐบาลอย่างเงียบๆ พร้อมกับการทดลองมนุษย์แปลงที่หมายจะเป็นกองกำลังเข้าปกครองโลก
จริงๆเราจะบอกว่า หนังไอมดแดงเวอร์ชั่นนี้มันไปไกลกว่าคำว่าหนังหลอกเด็กเยอะมาก ผู้ใหญ่ท่านใดที่คิดจะปรามาสหนังเรื่องนี้ว่าเป็นหนังเด็กดูง่ายๆ เตะต่อยจบไปวันๆ อาจจะต้องหยุดคิดเล็กน้อย เพราะในหนังเต็มไปด้วยบทสนทนาที่ยืดยาว และฉากบู๊ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงในช่วงแรกๆของหนัง และบทสรุปจบที่ทำให้คุณรู้สึกหม่นหมองแต่เต็มไปด้วยความหวัง…ถ้าจะพาเด็กๆไปดู อันนี้บอกเลยว่าคงไม่เหมาะนัก
เรื่องราวและงานโปรดัคชั่นของไอ้มดแดงเวอร์ชั่นอันโนะ ถือว่าสนองความเนิร์ดของคนสร้าง ทีมงานแบบจัดเต็ม ทั้งการไล่สี การออกแบบตัวละคร เซตติ้งเรื่องราวต่างๆ ถ้าแฟนๆคาเมนไรเดอร์สายลึก น่าจะมีกรี๊ดกันหลายรอบมาก ๆ เพราะออกแบบฉาก็อิงจากต้นฉบับในหลายๆจุด
หนังเลือกที่จะเปิดเรื่องซีนแรกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่ปราณีคนดูด้วยการโยนซีนแอคชั่นระดับเซอร์วิสแฟนเดนตาย ก่อนจะมาขยายความเรื่องราวที่มาที่ไป แรงผลักดันในการต่อสู้ แรกๆเราจะรู้สึกว่าเหตุผลของตัว ฮอนโก ทาเคชิ มันเบาหวิว อ่อนด๋อยจังวะ ใครพูดอะไรก็เชื่อ งึกๆงักๆไปหมด แต่เนื้อเรื่องเมื่อเดินไป หนังจะค่อยๆเผยว่า ในอดีตหมอนี่เจออะไรมา ทำไมถึงมาอยู่ในสภาพนี้ได้ ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่น่าสนใจดี…
แต่กับตัวละครอื่นๆ อย่าง รูริโกะ หรือแม้แต่ตัว ฮายาโตะ (ไอ้มดแดง2) ไปจนถึงเหล่าร้ายนั้น ไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก เลยไม่รู้สึกอินกับเหตุผลตัวละครเท่าไหร่ คือภาพมันไม่ชัดว่า ทำไมต้องสู้ สู้ไปเพื่ออะไร และยิ่งท้ายๆเรื่อง คือแบบ นึกว่าดูอีวานเกเลียน สู้ไปคุยไป …เอาจริงๆนะ เริ่มมีอาการ “เหนื่อย” ที่จะดู 555+
ไม่ใช่ว่าหนังแย่นะ แต่พอทุกเหตุผล ทุกๆการเปิดเผยคีย์ของเรื่องราว มันถูกนำเสนอผ่านบทสนทนา หรือตัวละครเล่าให้ฟังแทบจะทั้งหมด คนดูจะรู้สึกว่า “หนังมีข้อมูลให้เสพเยอะมาก” มากจนรู้สึกเป็นภาระในการรับชมไปหน่อย อย่างแอดมินเองก็เก็บทุกประเด็นไม่ทัน คิดตามไม่ไหวซับไวเกิ๊น
แต่ถามว่าดูรู้เรื่องมั้ย รู้เรื่อง ดูดีในภาพรวมด้วย แต่ส่วนตัวยังรู้สึก “คาใจ” ที่คิดว่าตัวเองยังรับสิ่งที่หนังอยากเล่าได้ไม่หมดมากกว่า…
ดังนั้น ถ้ามีการ “พาเพื่อนคอเดียวกัน ไปนั่งดู” และช่วยกันเก็บตกประเด็นต่างๆ จะดีมาก…
ส่วนตัวแอคชั่นหนัง ดีมากๆตั้งแต่ซีนแรก ไปจนถึงการมาของคาเมนไรเดอร์ 2 (ฮายาโตะ) ออกมาแค่นั้น
หลังจากนั้นทุกอย่างของหนัง ค่อยๆร่วงลงเหว เพราะเลือกใช้เซตติ้งเป็นที่มืด และการต่อสู้ที่แสนจะทุลักทุเลแทนคิวแอคชั่นสวยๆ เสียดายมากๆ ที่ครึ่งเรื่องแรกคิวบู๊กลางแจ้ง และการสู้กับมนุษย์ค้างคาว มนุษย์ผึ้งทำมาดี ดูลงทุนลงแรง ทุ่มเทมากแท้ๆ…
แล้วพอเข้าไคลแม็กซ์ กลับรู้สึกไม่สมศักดิ์ศรีเท่าไหร่ บวกกับความมืดของฉาก การถ่ายทำในที่แสงน้อย งานภาพเลยออกมาดูอึดอัดและพาลดูไม่รู้เรื่องในบางจุด
นี่เรายังไม่พูดถึงการใช้การ Jump Cut ที่โคตรรวดเร็ว ตัดไปมา…
คนที่ไปดู ก็เสียงแตกว่า “ชอบ”เพราะมันฉับไว กระชับ รวดเร็ว
แต่คนที่ “ไม่ชอบ” ก็จะมีเหตุผลว่า มันตัดไปมาเร็วเกิน ตามไม่ทัน เวียนหัว
อันนี้แล้วแต่บุคคลครับ อยากให้ไปดูด้วยตัวเอง…
ถ้าให้สรุปแบบรวบรัดตัดความ “ชิน•มาสค์ไรเดอร์”
เป็นหนังที่ครึ่งแรกตีความไอ้มดแดงใหม่ แล้วออกมาดีจัดๆ
แต่ครึ่งหลังเขียนใหม่ทั้งหมด แล้วออกมาแปลกๆซะงั้น
ซึ่งบทสรุปของเรื่อง ถือว่าโอเค เป็นการ “แถ” จนได้มุมมองที่น่าสนใจ พร้อมเปิดช่องว่างให้นำไปต่อยอดได้…
เอาเป็นว่า ส่วนตัวอยู่ฝั่งที่ “ชอบ” ถึงแม้ว่าตัวหนังจะสวิงอารมณ์ไปบ้าง และความเนี้ยบของงานที่ขึ้นๆลงๆ
แต่ก็ยังเป็นการนำเสนอไอ้มดแดงที่เรียลขึ้น ดูดุดันขึ้น และควรค่าแก่การไปรับชมในโรงซักรอบนึงครับ!
เชื่อว่าดูจบ ต้องมีความรู้สึกอยากบิดมอไซด์รับพลังงานลมแบบไอ้มดแดงบ้างแหละ!
สำหรับภาพยนตร์ตระกูล Shin ของผู้กำกับฮิเดอากิ อันโนะ (Hideaki Anno) หลังจากสร้างปรากฏการณ์ จนกวาดคำวิจารณ์ด้วย Shin Godzilla และปิดฉากมหากาพย์ Shin Evangelion จนจุใจ แถมยังแวะมาช่วยควบคุมการสร้างใน Shin Ultraman ไปหมาด ๆ ล่าสุดอันโนะก็พร้อมกลับมาสานจิตวิญญาณแห่ง Shin ด้วย Shin Kamen Rider กันแล้ว
หนังเรื่องนี้เป็นโปรเจกต์ฉลองครบรอบ 50 ปีของซีรีส์ Kamen Rider โดย Toei Company ซึ่ง Shin Kamen Rider ก็มีพื้นฐานมาจากการนำภาพยนตร์ซีรีส์ และมังงะ Kamen Rider ของอาจารย์โชทาโร่ อิชิโนโมริ (Shōtarō Ishinomori) มาดัดแปลงใหม่ในสไตล์ผู้กำกับอันโนะเองโดย Shin Kamen Rider เล่าเรื่องถึงฮอนโก ทาเคชิ มนุษย์ดัดแปลงผู้หลบหนีออกมาจากองค์กร SHOCKER พร้อมกับนักวิทยาศาสตร์สาว มิโดริคาวะ รูริโกะ ในขณะที่หนีอยู่นั้นฮอนโกก็ต้องเผชิญกับศัตรูมากมาย พร้อมกับเรียนรู้ที่จะใช้พลังเพื่อปกป้องโลกไปพร้อมกัน
7 Hal Menarik di Shin Kamen Rider yang Sudah Diketahui!
สำหรับหนังตระกูล Shin แล้ว ต้องขอชมเลยว่า Shin Kamen Rider เป็นหนึ่งในหนังที่มีคิวบู๊ดุเดือดกว่าเรื่องไหน เพราะตลอดทั้งเรื่อง จะอุดมไปด้วยฉากแอ็กชันในแบบที่ไม่ทันให้เราได้พักหายใจ ซึ่งระหว่างทาง เราจะเห็นตัวละครมากมายออกมาบรรเลงหมัด วาดลวดลายคิวบู๊ และหาวิธีเอาชนะศัตรูในแบบต่าง ๆ ซึ่งคอหนังแอ็กชันน่าจะถูกใจเลยล่ะ
แม้หนังจะดูเหมือนอุดมไปด้วยเลือด แต่หนังก็ไม่มีฉากคอขาด ร่างกระจายแบบใน Amazons กับ BLACK SUN หรอกนะ ซึ่งเลือดที่ออกมา ก็มาจากการชกต่อยของตัวละครนั่นแหละ และถ้าใครที่กลัวว่า จะน่ากลัวเกินไปแล้วเด็กดูไม่ได้ ก็ขอบอกว่าสบายใจได้ คิวบู๊ไม่ได้ต่างจากหนังไรเดอร์ปกติเลย
สำหรับเด็กหนวดแล้ว ถ้าใครที่ดู Shin Ultraman แล้วรู้สึกสนุกสนานกับการหาอีสเตอร์เอ้กในหนัง บอกเลยว่าสมใจอยากแน่นอน เพราะ Shin Kamen Rider อัดแน่นไปด้วย Reference จากซีรีส์ยุคโชวะ ตั้งแต่ บทพูด เพลงประกอบ การออกแบบ ที่คนรักโทคุซัสซึต้องยิ้มจนแก้มปริ
แต่ถึงอย่างนั้น สำหรับผู้เขียนแล้ว หนังเรื่องนี้ก็มีบาดแผลใหญ่ที่ทำให้เรารักมันหมดใจไม่ลง
Takeshi Hongo wears his bug-like motorcycle helmet and looks at his mutating hand in the trailer for Shin Kamen Rider.
เริ่มต้นที่บทก่อนเลย ปัญหาของหนังเรื่องนี้ เหมือนกับ Shin Ultraman คือหนังอุดมไปด้วยซีเควนซ์มากมาย มาเรียงร้อยต่อกัน ทว่าหนังกลับไม่สามารถดึงหัวใจออกมาจากจุดนั้นได้ ซึ่งหนังสามารถมีจุดพอดีที่เป็นกึ่งกลางของความเบียว และความจริงจังได้ แต่เหมือนผู้กำกับอันโนะไม่รู้จักเบรก แถมยังเหยียบคันเร่งเพื่อใส่อะไรที่ล้นมามากเกินไป จนทำให้หนังเต็มไปด้วยความอิหยังวะมากมาย
ถ้าจะพูดให้ถูก ปัญหาหลักของหนังจึงอยู่ที่ผู้กำกับอันโนะนี่แหละ เพราะแกเป็นมนุษย์ที่มีไอเดียในหัวเยอะมาก แล้วดันอยากยัดทุกอย่างลงไปในหนัง ทำให้ Shin Kamen Rider มีทุกอย่างที่เป็นแฟนเซอร์วิส แต่กลับขาดหัวใจของภาพยนตร์ลงไปโดยเฉพาะตัวละครหลักอย่างฮอนโก ที่ควรเป็นตัวละครที่มีการพัฒนามหาศาล แต่จนจบเรื่องเรากลับไม่สามารถหลงรักตัวละครได้อย่างหมดใจ นอกจากนั้นอีกหนึ่งตัวละครที่น่าเสียดายก็คือ รุริโกะ ที่แสดงโดยมินามิ ฮามาเบะ ซึ่งควรจะเป็นหัวใจหลักของหนังจนเรียกน้ำตาคนดูได้ ทว่าผู้กำกับอันโนะกลับไม่สามารถดึงจุดนี้มาใช้ได้ ซ้ำร้าย หนังยังทำให้ฉากในซีนเรียกน้ำตาดันออกมาฝืนจนตลก
ยังดีที่ตัวละครอย่าง อิจิมอนจิ ฮายาโตะ ช่วยออกมาแบกเนื้อเรื่องในช่วงท้าย แม้จะออกมาน้อย แต่ก็เป็นตัวละครที่แย่งซีน จนใครหลายคนก็หลงรักไปเลยล่ะนอกจากนั้น ปัญหาอีกอย่างที่ต้องยอมรับเลยก็คือบทพูด ที่ช่างดูประดิดประดอย เพราะเรารู้สึกเลยว่า บทพูดใน Shin Kamen Rider ช่างดูไม่เป็นธรรมชาติ แถมพ่นศัพท์เบียว ๆ กันเต็มไปหมด แม้ว่าหลายประโยคจะเป็นอีสเตอร์เอ้กที่สื่อถึงซีรีส์ไรเดอร์ยุคโชวะ แต่เมื่อมันถูกจับยัดมาแบบไม่เข้าที่เข้าทาง สิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็น Buzz Word ที่ทำให้ตรรกะตัวละครผิดเพี้ยนไปหมด
ในส่วนที่ผู้เขียนเสียดายที่สุดเลยก็คือ CG และคิวบู๊ ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะว่าโตเอะให้งบมาน้อย หรือเพราะว่าอันโนะแกอยากได้แบบนั้น ฉากต่อสู้มากมายกลับกลายเป็น CG ที่ไม่สวยงามเอาซะเลย ทั้งที่คาเมนไรเดอร์ซีรีส์มีชื่อจุดเด่นด้านคิวบู๊ที่สวยงาม แต่อันโนะกลับดึงจุดนั้นมาใช้ไม่ได้ ถ้าจะให้พูดตรง ๆ CG สวยสุดในเรื่องก็น่าจะเป็นทุกฉากที่มอเตอร์ไซค์ไซโคลนออกมาแล้วล่ะ เพราะนอกจากนั้นแล้วฉาก CG ที่เหลือก็ชวนกุมขมับหมด
โดยรวมแล้วแม้ Shin Kamen Rider จะสนุก และย่อยง่ายกว่า Shin Ultraman ทว่ามันกลับไม่ได้ตอบโจทย์ในแง่ความบันเทิง แฟนคลับดูแล้วได้ตื่นเต้น แต่คนธรรมดาดูแล้วเป็นงง พูดก็พูดเถอะ Kamen Rider THE FIRST (2007) ที่เป็นรีบูตของ Kamen Rider ภาคแรก ยังสนุกกว่าซะอีก
Shin Kamen Rider ยังคงเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ของอันโนะที่มีปัญหาตรงบท ซึ่งเหมือนแกสูดกาวเยอะไป จนอยากยัดทุกไอเดียในหัวมาใส่หนังจนล้น น่าเสียดายที่ Shin Kamen Rider นั้นมีวัตถุดิบที่ดีมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง บท หรือแม้กระทั่งแฟนเซอร์วิส แต่ผู้กำกับดันลืมใส่สิ่งสำคัญที่เรียกว่า ‘หัวใจ’ ลงไปในหนังซะงั้น