ภาพยนตร์ ดนตรี

ภาพยนตร์ ดนตรี

ภาพยนตร์ ดนตรี

ภาพยนตร์ ดนตรี เรื่องราวว้าวุ่นของวัยรุ่นในกรุงปารีสหนังแบ่งเป็นสามส่วนเป็น The Departure, The Absence รวมถึง The Return ซึ่งเนื้อหาของทั้งสามส่วนก็ยังเป็นเส้นเรื่องเดียวกัน เพียงแต่ว่าถูกแบ่งตามลำดับเวลา ของการเยียวยารักษาจิตใจภายหลังจากการสูญเสียของอิสมาเอล โดยที่มาก็มีความอิรุงตุงนังประมาณนึงว่า อิสมาเอล เป็นแฟนกับจูลี่ แล้วจู่ๆสองคนนี้ก็ต้องการทรีซั่มเลยได้

อลิซ สหายร่วมงานของอิสมาเอลมาเป็นคู่หูเพิ่มอีกคน แม้กระนั้นตราบจนกระทั่งมาวันนึงจูลี่ ก็เกิดอาการงงงันในตัวเอง ไม่เคยทราบว่าจริงๆ รักอิสมาเอลหรือเปล่าแต่ก็ออกอาการหึงหวงอิสมาเอลจากอลิซอยู่บ่อยๆ ก็ต้องตามดูกันติเตียน สามคนนี้ จะเตรียมพร้อมความอลหม่านนี้กัน เช่นไร บอกตรงๆ ว่าสิ่งที่ทำให้อยากมองดูประเด็นนี้ ภาพ ยนตร์ ดนตรี เห็นจะไม่พ้นเพลงเนี่ยแหละ โดยมากเป็นป๊อป อัลเทอร์เนทิฟ ที่เขียนมาได้หรูหราเลย ดาราภาพยนตร์แต่ละคนก็ร้องเองทั้งหมด เพลงที่ชอบใจมากๆในหัวข้อนี้ ก็ได้แก่ Je n’aime que toi, Les yeux au ciel, J’ai cru entendre Once

ใครกันแน่ที่เป็นสายโฟล์กคงไม่มีทางเป็นไปได้พลาดเรื่องนี้อย่างแน่แท้ มิวสิคัลที่เล่าของนักเล่นดนตรีสองคนในเมืองดับลิน ไอร์แลนด์ คนนึงเป็นชายหนุ่มนักดนตรีเปิดหมวกที่หัวหัวใจ บอกระบมมาจากรักครั้งเก่า เล่นดนตรี หาเลี้ยงชีพไปวันๆ ที่ศีรษะมุมถนน อีกคนเป็นสาวเช็กที่ย้ายมาอยู่ตรงนี้พร้อมครอบครัวอย่างอัตคัด จนกระทั่งวันหนึ่งคุณได้เดินผ่านมาเจอเขาเล่นดนตรีอยู่ตรงที่ประจำ แล้วก็ทั้งคู่ก็รู้จักกันตั้งแต่วันนั้น musical movie แม้จะเริ่มจากการเอาเครื่องดูดฝุ่นมาให้เขาปรับปรุงแก้ไขซ่อนแซมก็ตามสิ่งที่เรารักสุดๆ

ภาพยนตร์ ดนตรี

 หนังเรื่องนี้ เป็นความดิบ และเรียบง่าย

แต่ว่าแอบเนื้อหา น่ารักๆ ไว้ให้ พวกเรา แอบยิ้มผสมน้ำตาซึม หรือบางฉากก็ระทมทุกข์ปวดศรีษะหัวใจ ขนาดที่ Steven Spielberg เองยังเอ่ยปากมองใน USA Today ที่หนังเล็กๆประเด็นนี้ได้ให้แรงกระตุ้นกับเขาอย่างมหาศาล เหตุผลหนึ่งน่าจะเป็นความสมจริงสมจังในอารมณ์ความรู้สึกที่คนดูเองก็ยังสัมผัสได้ซึ่งเพลงในหัวข้อนี้ก็เป็นฝีมือการผลิตสรรค์ของพระนางเอง Marketa Irglova รวมทั้ง Glen Hansard

พวกเขาเคยทำเพลงร่วมกันในชื่อ The Swell Season หนังMusical  แล้วก็ส่งให้เพลง Falling Slowly ได้รางวัลเพลงออริจินัลดีเลิศในออสการ์มาแล้ว เพลงที่พวกเรารักในประเด็นนี้ Lies, Fallen From the Sky, Gold ส่วนฉากที่มองกี่คราวก็น้ำตาซึมก็จะต้องฉากนี้แล

Dancer in the Dark

จบท้ายด้วยหนังสะเทือนอารมณ์ของ Lars Von Trier ที่ได้ศิลปินตัวแม่ที่วงการ Björk มารับงานแสดงชิ้นแรกในชีวิตของคุณ กับบท เซลม่า แรงงานย้ายที่อยู่ชาวเช็กที่มาดำเนินงานในโรงงานที่อเมริกา

โดยมีลูกชายติดตามมาด้วย นอกจากความเปลี่ยนไปของคุณแล้ว เธอพบว่าดวงตาที่ดูไม่ชัดเจนกำลังค่อยๆมืดบอดลง รวมถึงลูกชายของคุณก็กำลังเจอกับอาการคล้ายกันทำให้เซลม่าต้องดิ้นรนหาทางรักษาให้ลูกชายไม่ต้องเป็นแบบเธอหนังใช้แนวทางเล่าความขาดแคลนแสนท้อใจสลับไปกับฉากมิวสิคัลเหนือจริง ที่เปรียบเสมือนเป็นโลกในหัวของคุณที่คุณสามารถหนีจากความชั่วร้ายของชีวิต คุณได้ทั้งยังร้อง เต้น แล้วก็แลเห็นสิ่งต่างๆได้อย่างใจ

เธอมีความต้องการที่จะเป็นดาราภาพยนตร์ละครบรอดเวย์ โดยเฉพาะกับบทนำใน The Sound of Music อย่างที่พวกเราจะได้เห็นคุณขับร้อง My Favorite Things ในฉบับที่ข่มขู่จิตใจเป็นอย่างมากดังเดิมเขียนในโพสต์ นักดนตรีที่เคยทำเพลงประกอบหนัง ในเพจ ฟังจิตใจ ก็จะพบว่า Björk รับหน้าที่เขียนเพลงทั้งนั้นขึ้นมา

รวมถึงแสดงรวมทั้งร้องเองในทุกฉาก ทำให้หลายท่านพบว่า คุณเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์ล้นหลามคนนึง หลายๆเพลงในประเด็นนี้มีความเป็นดนตรีทดสอบ industrial เป็นมีเสียงเครื่องจักรเสียงร้องเท้าที่ทำขึ้นมาจากยางเสียดสีกับพื้น ถูกประยุกต์ใช้เป็นบีตในเพลงต่างๆผสมกับออเคสตร้ารวมทั้งซาวอิเล็กทรอนิกได้อย่างแปลกใหม่น่าดึงดูด รวมทั้งแน่ๆว่าความใหม่ของเพลงก็ขัดกับเบื้องหน้าเบื้องหลังของเรื่องที่เกิดขึ้นในปี 60s แต่ว่าโน่นก็เป็นความตั้งมั่นของผู้กำกับและก็ศิลปินเองที่มีความคิดว่าไหนๆโลกที่มีเสียงดนตรีก็เป็นโลกในจินตนาการที่อะไรก็เกิดขึ้นได้

God Help the Girl

ภาพยนตร์ฉากหน้าน่ารักน่าเอ็นดู ภาพยนตร์ ดนตรี ทั้งยังดาราใบหน้าน่ารักน่าชัง เพลงสวย คอสตูมน่ารัก แต่เนื้อหาไม่ได้แจ่มใสแบบทอฟฟี่ที่ฉาบไว้ โดย Stuart Murdoch ฟรอนต์แมนของวง Bell & Sebastian มาเขียนบทแล้วก็ควบคุมเอง แถมยังคงใช้เพลงของวงตนเองมาช่วยเล่าของเด็กวัยรุ่นในกลาสโกว อาทิเช่น อีฟ เจมส์ รวมทั้งแคสซี แสดงบทบาทโดย Emily Brown, Olly Alexander ที่วง Years & Years รวมทั้ง Hannah Murray ที่เลื่องลือจากซีรีส์วัยว้าวุ่นอังกฤษเลื่องลือ Skinsเราจะได้ตามติดชีวิตของพวกเขาทั้งสามในการจับกลุ่มดนตรีที่เมืองที่นี้

แม้กระนั้นขณะเดียวกันเราจะได้พบความวิ่นในชีวิตของศิลปินที่เบาๆคายออกมา อย่าง อีฟ ที่ที่มาของเรื่องเราก็ได้มีความคิดเห็นว่าครอบครัวของคุณไม่ค่อยอบอุ่น จึงควรพักรักษาตัวในโรงหมอเหตุเพราะเธอเป็น anorexia ถึงแม้คุณก็มีความสามารถสำหรับการเขียนเพลงและร้องคุณไม่อยากติดอยู่ที่นี่ก็เลยตกลงใจหนีไปทำตามอย่างความฝัน เรียกว่าเป็น coming of age ที่เชิญฝันถึงหาก แม้เวลาเดียวกัน ก็น่าสลดหดหู่ใจ

จากที่เล่าผ่านเพลงอินดี้ป๊อปจังหวะสนุกแจ่มใส ถึงแม้ว่า เนื้อเพลงของแต่ละเพลงกลับสื่อถึงความเปล่าเปลี่ยวและก็โดดเดี่ยว ไร้คนเข้าอกรู้เรื่องหลายๆฉากพวกเราก็จะได้มองเห็นมิตรภาพของเพื่อนฝูง การแอบรัก และความห่วงใยที่มอบให้โดยไม่ต้องการสิ่งใดทดแทน เพลงที่ประทับหัวใจในหัวข้อนี้ก็ไม่พ้นเพลงขื่อเดียวกับเรื่องแน่ๆGod Help the Girl, Come Monday Night, I Just Want Your Jeans ส่วนฉากที่พวกเราถูกอกถูกใจที่สุดเป็นฉากนี้

La La Land

อีกประเด็นในดวงใจของผู้คนเยอะๆถึงแม้ฟอร์ม ของเรื่องจะมีความเป็นมิวสิคัลอยู่ในหลายฉาก ถึงก็มิได้ ทำให้หนังมองเชยอะไร ทั้งช่วยชีวิตเพลงแจ๊สขึ้นมาใหม่ให้สดใสร่วมยุค หรือเอาขนบของมิวสิคัล ที่คนรู้สึกว่าเข้าถึงยากมาทำให้แตะต้องได้มากเพิ่มขึ้น จนได้รับการเสนอชื่อในสาขาภาพยนตร์ดีที่สุด ดาราเหมาะสมที่สุด เพลงเยี่ยมที่สุดจากหลายเวที ยิ่งไปกว่านี้ Ryan Gosling ก็ยังฝึกเล่นเปียโนให้เซียนขึ้น

เพื่อมารับบทผู้ชายนักดนตรีที่อยากได้เปิดบาร์แจ๊ส แล้วก็เป็นไม่กี่เรื่องที่เราได้ยิน Emma Stone ขับร้องด้วย เพราะล้นหลามหนังเล่าความรักของ มีอา และก็ เซบาสเตียน ที่กำลังเจริญวัยเบิกบานใจภายใต้แสงตะวัน เจิดจ้าในลอสแอนเจลิส หากแม้ประเด็นนี้ ก็สอนให้ทราบดีว่า แม้ว่าจะรักกันเพียงใดแม้กระนั้นในที่สุด ก็ต้องพ่ายให้กับการวิ่งตามความฝัน ถึงพล็อตราวๆนี้จะถูกเล่าซ้ำมาโดยประมาณห้าร้อยล้านรอบแล้ว แม้ว่าด้วยความรู้ความเข้าใจของผู้กำกับ Damien Chazelle ก็ยังสามารถหามุมมองใหม่ๆมาดำเนินเรื่องให้เราเพลิน เบิกบานใจเจริญหัวใจได้ ตั้งแต่ต้นตราบจนกระทั่งจบ แล้วก็เสียน้ำตาให้ไปหลายแหมะด้วยเหมือนกัน

อินโว้ยยยยเพลงที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีก็คือ City of Stars ส่วนเพลง ที่เราอยากได้แนะนำให้ไปฟังกันเป็น Another Day Of Sun, A Lovely Night, Fools Who Dream แต่ที่แน่ๆเป็นถูกอกถูกใจการเรียบเรียงเพลงโดยสามารถถือธีมซองมาแทรกสอดไปได้ในทุกเพลงอย่างคมคายเลยทำให้เราไม่เคยรู้สึกว่ามีเพลงไหนฉีกไปจากโทนของเรื่องแม้แต่น้อย

Les Chansons d’Amour

หนังฝรั่งเศสเพียงอย่างเดียวในลิสต์ Musical เพลง ที่พวกเรามีความเห็นว่าน่าดึงดูดล้นหลามๆได้รับเลือกฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์เมื่อปี 2007 แม้จะไม่ค่อยมีใครรู้จักในบ้านเรา ภาพยนตร์ ดนตรี แต่ก็ยังมีคนตาไวไปพบมองมาได้แล้วเอามาเล่าให้พวกเราฟัง (กราบ) นอกเหนือจากที่จะเป็นการเล่าด้วยดนตรีร่วมยุคที่เขียนโดย Alex Beaupain ที่เนื่องจากเยอะมากๆแล้ว ว่ากันว่าหนังประเด็นนี้ ได้อิทธิพลจากภาพยนตร์ฝรั่งเศสแบบที่ Jean-Luc Godard ควบคุมอะไรเทือกนั้น

การที่เราจะได้เห็นฟุตเทจ ภาพนิ่งเล่า เรื่องสลับกับการเดินเรื่องธรรมดาหรือจู่ๆดาราเขยื้อนแบบเหนือจริง (คนอื่นๆเดินธรรมดา แม้กระนั้นอีกคนเขยื้อนถอยหลังแบบสมูธๆเพราะว่ายืนบนดอลลี่) ไปกระทั่งการให้พวกเรามองดูเหตุคู่ขนานที่เกิดขึ้นไปพร้อมทั้ง narrative ของอีกเหตุหนึ่ง จะมองเห็นการหันมาดูกล้องที่เอาไว้สำหรับถ่ายภาพตรงๆของศิลปินเป็นตอนๆซึ่งเป็นกิมไม่กของ French New Wave หมดเลย อย่างฉากอ่านหนังสือบนที่พักผ่อนก็ทำให้นึกถึง ‘Bed & Board’ ของ François Truffaut ที่เป็นผู้กำกับสายเดียวกันนั่นเอง

https://moonbigpapi.com/