fast x imdb

fast x imdb

fast x imdb

fast x imdb จากเรื่องราวของหนังรถซิ่งสู่เรื่องราวจารชนพิทักษ์โลก fast x แต่ก็เถียงไม่ได้ว่าเรายังสนุกกับเรื่องราวของแฟรนไชส์นี้ได้เกือบจะทุกภาคแม้จะออกทะเลไปไกลจนถึงอวกาศมาในภาคที่แล้วก็ตาม fast x และเรื่องราวทั้งหมดกำลังเดินทางเข้าสู่บทสรุปกับภาคต้นของบทส่งท้ายอย่าง Fast X ที่มีประกาศออกมาแล้วว่าจะมีอีก 2 ภาคก่อนจะปิดฉากเรื่องราวของ Fast Family SPACE REVIEW จึงขอจัดรีวิวร้อนๆ หลังมีโอกาสได้ร่วมชมในรอบ THAILAND GALA PREMIERE ที่จัดขึ้นเมื่อวานนี้ เรื่องราวของภาคนี้จะเป็นบทนำการล่าไล่ล้างแค้นจากศัตรูคู่อาฆาตที่มีความแค้นกับ ดอม ทอเร็ตโต้ (วิน ดีเซล)

และครอบครัวของอย่าง ดันเต้ เรเยส (เจสัน โมมัว) ลูกชายคนเดียวของ เฮร์แนน เรเยส(โจควิม เดอ อัลมีด) เจ้าพ่อแห่งเมืองริโอ ศัตรูเก่าที่เคยถูกดอมและพวกปล้นตู้เซฟเงินและตายในภาคที่ 5 แต่ดอมไม่รู้ว่าในการไล่ล่าครั้งนั้น ดันเต้ ได้รับรู้ทุกอย่างแต่เขารอเวลาเพื่อกลับมาล่าล้างแค้นครอบครัวของดอม และคนที่ค่อยช่วยเหลือเขา

สงครามบัญชีแค้นครั้งสุดท้ายจึงเริ่มต้นขึ้น ความรู้สึกหลังชมFast X review: ‘Preposterous from beginning to end’ – BBC Cultureก็คงพูดได้เลยว่าหนังตระกูลนี้ ยังไงก็อัดแน่นความสนุกและความมันส์เพื่อแฟนๆ ครอบครัวฟาสไม่เคยลดมาตราฐานลงไปแม้แต่นิดเดียว แต่สิ่งที่เพิ่มเติมมาในภาคนี้คือการดำเนินเรื่องที่พยายามปรับให้กลับไปสู่รากฐานเดิมจากภาคที่ 5 หลังจากภาคที่ 9 พาคนดูไปสู่อวกาศได้แล้วคงไม่มีอะไรที่แฟรนไชส์นี้จะทำไม่ได้อีกแล้ว fast x ในภาคนี้เมื่อเป็นบทนำไปสู่บทสรุปของภาคจบจึง ไม่ได้เน้นไปที่ความเล่นใหญ่เล่นโตเท่าไร

แต่อัดแน่นฉากแอ็กชันแบบ Non-StopVin Diesel นักแสดงจาก Fast X แบ่งปันความประทับใจให้กับนักแสดงร่วมอย่าง  Tyrese Gibson - Wannasin

และอาจจะเป็นฉากที่ใส่แอ็กชันเยอะที่สุดเลยก็ว่าได้เพราะตลอดเวลา 140 นาทีแถบไม่มีจังหวะพักยาวๆ แม้แต่นิดเดียว จัดฉากไล่ล่ากันต่อเนื่องแบบจุใจ แต่ฉากเด็ดๆ ต้องยกให้ภารกิจกู้ระบิดในกรุงโรม เรียกว่าความวินาสสันตะโรมาเต็มทุกจุด รวมถึงฉากช่วงท้ายเรื่องที่ดอมต้องไปช่วยลูกชายอย่าง ไบรอันจูเนียร์ ที่ใช้รถลากเฮลิคอปเตอร์ แน่นอนเรื่องความโม้แบบเวอร์วังไว้ใจฟาสได้เลย และอาจจะเรียกว่าเป็นภาคที่สร้างตัวร้ายมีสีสันที่สุดในบรรดาหนังตระกูลฟาส ที่เคยสร้างมาเลยก็ว่าได้กับ ดันเต้ ตัวร้ายหลักของบทสรุปทั้ง 3

ภาคสุดท้ายที่ได้ เจสัน โมมัว จากฮีโร่ดีซีอย่าง อควาแมน มารับบทนี้ ใครดูก็คงเทียบได้กับวายร้ายของจักรวาลดีซีอย่าง โจ๊กเกอร์ ที่มีความโรคจิตและกวนบาทาตลอดเวลา แถมฉลาดเป็นกรดเพราะสั่งสมความแค้นและศึกษาครอบครัวดอมมาอย่างดีจึงเป็นศัตรูที่เข้าขั้นน่ากลัวเลยสำหรับตัวละคร ดันเต้ ภาคนี้จะมีตัวละครเยอะมากๆ

เพราะการถูกตัวร้ายเล่นงานจนต้องหนีกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง จึงแบ่งบทให้มีความหลากหลายมากขึ้นในด้านความคอมเมดี้ ต้องยกให้กลุ่มของ โรมัน,เทจ,ฮานและแรมซีย์ที่ออกมาขายขำกันตลอดทั้งเรื่องเป็นทีมที่ค่อยผ่อนคลายความแน่นของแอ็กชันในภาคนี้ให้มีความตลกแทรกไม่ให้หนักงานบู๊จนเกินไป แต่บทที่น่าจะพลิกมากที่สุดและถือว่าค่อนข้างขโมยซีนคงหนีไม่พ้น จอห์น ซีน่า ที่รับบท เจคอบ เทเร็ตโต้ ตัวร้ายจากภาคที่แล้วที่ภาคนี้กลับมาคืนดีกับดอม พี่ชาย จนรับภารกิจมาช่วยดูแลหลาน จากตัวร้ายหน้าโหดสู่โหมดคุณอาสปอยล์หลาน

ที่ค่อนข้างพลิกคาแรคเตอร์ไปพอสมควร แต่บอกเลยว่านี้คือตัวไฮไลต์ของภาคนี้ที่คนดูคาดไม่ถึง

ส่วนตัวรู้สึกว่าภาคนี้จะให้อารมณ์แบบเดียวกับที่เราเคยดู Avenger: Infinity War เพราะเป็นภาคที่มีทั้งซีนเซอร์ไพรส์ให้ว้าวกันแบบมาได้ถูกจังหวะ และเกือบจะถูกจริตแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ว่ามีเรื่องให้ติกับช่องโหว่เยอะสุดๆ แม้จะพยายามทำใจว่าตระกูลฟาส อย่าใช้สมองในการดูก็ตาม สำหรับข้อเสียในภาคนี้หลักๆ

เลยมีสองจุดใหญ่คือการใส่บทแอ็กชันซีนแบบไร้เหตุผล คือไร้เหตุผลจริงๆนะแบบที่ว่าพูดไม่กี่คำ ก็งัดกันแล้วจังหวะแบบนี้เยอะมากๆ เยอะจนแบบรู้สึกว่าพักสักนิดไหมให้มีจังหวะผ่อนบ้างไม่ต้องเน้นงานบู๊ขนาดนี้ก็ได้ แม้จะสนุกแต่ไร้แก่นสารจนเราคนดูก็อดจะบ่นในจุดนี้ไม่ได้จริงๆ อีกส่วนคือความต่อเนื่องของซีนและการสร้างอารมณ์ร่วม ต้องบอกเลยว่านี่คือภาคที่ตัดต่อซีนได้เข้าขั้น “แย่ที่สุด” เพราะไม่มีความต่อเนื่องเลยแม้แต่นิดเดียว ตัดซีนสลับแบบน่าหงุดหงิดมากๆ เพราะด้วยความจะมีอีกสองภาคเหมือนจะพยายามกั๊กบางส่วนไว้สำหรับภาคที่เหลือจนกลายเป็นพยายามยัดเยียด

เรียกว่าเป็นข้อเสียหลักในภาคนี้เลย จนกลัวใจว่าสองภาคที่เหลือถ้ายังเป็นแบบนี้คงน่าเสียดายกับบทสรุปที่ควรจะดีกว่านี้สำหรับแฟรนไชส์ที่อยู่มายาวนานถึง 22 ปี ภาพยนตร์ลำดับที่ 10 ของแฟรนไชส์ Fast & Furious และยังเป็นพาร์ตแรกของภาพยนตร์ไตรภาคที่จะนำผู้ชมเข้าสู่บทสรุปของครอบครัวรถซิ่งสุดระห่ำ

หลังจากมอบความบันเทิงแก่ผู้ชมมายาวนานถึง 22 ปี โดยครั้งนี้ได้ Louis Leterrier จาก Now You See Me (2013) มานั่งแท่นผู้กำกับ แทนที่ Justin Lin ที่ขอถอนตัวจากตำแหน่งผู้กำกับกลางทาง เนื่องจากความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันกับนักแสดงนำและโปรดิวเซอร์อย่าง Vin Diesel สำหรับภาคนี้ว่าด้วยเรื่องราวของ Dominic Toretto (Vin Diesel) และครอบครัว ที่ต้องเผชิญหน้ากับวายร้ายคนใหม่อย่าง Dante Reyes (Jason Momoa) ผู้เป็นลูกชายของ

Hernan Reyes (Joaquim de Almeida) มาเฟียขาใหญ่ที่เคยถูก Toretto ขโมยตู้เซฟไปในภาค Fast Five (2011) จนเป็นเหตุให้ชีวิตของ Dante ต้องพังทลาย เขาจึงกลับมาล้างแค้น Toretto และทำลายครอบครัวให้ย่อยยับ ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟรนไชส์ Fast & Furious แล้ว สิ่งหนึ่งที่ผู้ชมหลายคนต่างคาดหวังจะได้ชม

เห็นจะเป็นฉากแอ็กชันสุดระห่ำที่แหกทุกกฎเกณฑ์และไต่ระดับความเวอร์วังมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ภาค สำหรับตัวผู้เขียนคิดว่าฉากแอ็กชันในภาคนี้ดูจะมีความหวือหวาน้อยกว่าหลายๆ ภาคที่ผ่านมา อาจจะไม่ได้ถึงขนาดขับรถข้ามตึกระฟ้า ซิ่งหนีเรือดำน้ำ หรือบินขึ้นอวกาศ แต่ทีมสร้างก็ยังสร้างสรรค์ฉากแอ็กชันออกมาได้สนุกสนานและน่าสนใจเช่นเดิม ไล่เรียงตั้งแต่ฉากไล่ล่ากลางโรมที่วินาศสันตะโร หรือการดัดแปลงรถของ Jakob (John Cena)

ให้กลายเป็นรถติดปืนใหญ่ก็ดูเท่ไม่แพ้กัน การลดสเกลฉากแอ็กชันลงเช่นนี้ อาจไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว้าวกับความเล่นใหญ่เล่นโตเกินจริงแบบภาคก่อนๆ ก็จริง แต่ขณะเดียวกัน มันก็ทำให้ฉากแอ็กชันต่างๆ ของ อยู่ในจุดที่พอเหมาะ ไม่เวอร์จนเลยเถิด แต่ก็ยังรักษาความเวอร์เกินจริงอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแฟรนไชส์ไว้ได้อย่างครบถ้วนFast X – Recensione: sfrenata delusione, la family perde la corsaอีกแง่หนึ่งเราก็แอบคิดว่า เหตุผลที่ฉากแอ็กชันในภาคนี้ถูกลดสเกลลง อาจเพราะทีมสร้างเลือกที่จะเก็บไอเดียในการสร้างฉากแอ็กชันใหญ่ๆ

ไว้สำหรับใช้ในหนังภาคต่อไป เพื่อให้บทสรุปของ Fast & Furious ยิ่งใหญ่ที่สุดก็เป็นไปได้ ซึ่งเราคงจะต้องติดตามกันต่อว่าทีมสร้างจะสร้างสรรค์ฉากแอ็กชันรถซิ่งของครอบครัวเหนือมนุษย์กลุ่มนี้ออกมาเวอร์วังอลังการแค่ไหน อย่างไรก็ตาม แผลใหญ่สำคัญที่ทำให้ Fast X กลายเป็นหนังที่ไม่กลมกล่อม

คือการพยายามยัดตัวละครใหม่เข้ามามากเกินความจำเป็น โดยหากไม่นับตัวร้ายคนใหม่อย่าง Dante ในภาคนี้มีการแนะนำตัวละครใหม่เข้ามาเพิ่มถึง 3 คนด้วยกัน ได้แก่ Tess (Brie Larson) ลูกสาวของ Mr. Nobody (Kurt Russell), Aimes (Alan Ritchson)

ผู้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าหน่วยลับแทน Mr. Nobody และ Isabel (Daniela Melchior) นักแข่งรถสาวมากฝีมือ จึงทำให้ตัวภาพยนตร์ที่เดิมก็มีตัวละครหลายตัวมากๆ อยู่แล้ว ต้องแบ่งเวลามาเล่าเรื่องราวตัวละครเหล่านี้ด้วย ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนมองว่าตัวละครเหล่านี้ไม่ค่อยมีบทบาทที่สำคัญเท่าไรนัก โดยเฉพาะ Tess และ Isabel ที่เราคิดว่าหากไม่มีสองตัวละครนี้ก็คงไม่ได้ส่งผลต่อเนื้อเรื่องหลักมากนัก หรือไม่ก็สามารถแทนที่ด้วยตัวละครสมทบอื่นๆ ที่ไม่จำเป็นต้องมีบทบาทสำคัญเท่านี้ก็ได้เช่นกัน ไม่เพียงเท่านั้น

ด้วยความที่ภาพยนตร์เลือกที่จะแยกตัวละครออกเป็นหลายกลุ่ม ได้แก่ การเดินทางของ Toretto, กลุ่มที่นำโดย Roman (Tyrese Gibson), กลุ่มของ Jakob และการเดินทางของ Letty (Michelle Rodriguez) ซึ่งในบางช่วงบางตอนของภาพยนตร์ก็มีฉากที่ ‘ไม่จำเป็นต้องเล่า’

อยู่หลายฉาก มันจึงทำให้ภาพยนตร์มีประเด็นที่ต้องเล่าเยอะเกินไป แต่กลับไม่ได้ลงลึกในประเด็นใดประเด็นหนึ่ง อีกทั้งหากเราลองย้อนกลับไปใน 9 ภาคที่ผ่านมา

เราจะพบว่าทีมสร้างมักจะนำตัวละครที่ตายไปแล้วกลับมามีบทบาทอีกครั้ง fast x เช่น Letty ที่ถูกฆ่าไปแล้วในภาค Fast & Furious (2009) และกลับมามีบทบาทอีกครั้งในภาค Fast & Furious 6 (2013) หรือ Han (Sung Kang) ที่ถูกฆ่าไปแล้วในภาค The Fast and the Furious: Tokyo Drift (2006)

แต่เขาก็กลับมาอีกครั้งในภาค Fast 9 (2021) การพาตัวละครที่เป็นที่รักของแฟนๆ กลับมามีบทบาทอีกครั้ง อาจจะตอบโจทย์ในแง่ของการเติมเต็มความคิดถึงของผู้ชม แต่ในทางตรงกันข้าม มันกลับทำให้ในทุกๆ ครั้งที่มีตัวละครสำคัญตาย เรากลับไม่ได้มีความรู้สึกร่วมกับการสูญเสียดังกล่าวอย่างที่ผู้สร้างต้องการให้เป็น

เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่า แม้จะมีตัวละครบางตัวตายไป แต่มันก็มีโอกาสที่ตัวละครเหล่านั้นจะกลับมามีบทบาทอีกครั้งได้เช่นเดียวกัน ด้วยข้อสังเกตเหล่านี้

จึงส่งผลอย่างมากต่อฉากสุดท้ายที่ภาพยนตร์ต้องการทิ้งประเด็นใหญ่ไว้เพื่อนำไปสู่ภาคต่อไป แต่มันกลับไม่ได้ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นหรืออยากจะติดตามเรื่องราวของ Toretto และครอบครัวต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น สลับมาที่ตัวร้ายหลักของเรื่องอย่าง Dante ที่นำแสดงโดย Jason Momoa

เราคิดว่าบทบาทของเขาเป็นตัวละครที่เข้ามาช่วยสร้างสีสันให้กับภาพยนตร์ได้ดี ไม่ว่าจะเป็นความเล่นใหญ่เล่นโต คำพูดยียวนกวนประสาท ไปจนถึงเล่ห์เหลี่ยมที่คอยปั่นหัว Toretto อยู่ตลอด ซึ่ง Jason Momoa ก็นำเสนอตัวละครดังกล่าวออกมาได้อย่างน่าสนใจสมการรอคอยจริงๆ

ในภาพรวมแล้ว ยังเป็นภาพยนตร์จากแฟรนไชส์ Fast & Furious ที่โดดเด่นด้วยการออกแบบฉากแอ็กชันที่มี ‘รถ’ เป็นหัวใจสำคัญขึ้นมาได้อย่างสร้างสรรค์เช่นเดิม แม้จะไม่ได้มีฉากใหญ่โตอลังการเท่าภาคก่อนๆ แต่ก็ทำให้เราสนุกสนานไปกับความเหนือมนุษย์ของ Toretto และครอบครัวได้เป็นอย่างดี

แต่ข้อสังเกตสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการใส่ตัวละครและประเด็นที่ต้องการจะเล่าเข้ามามากเกินความจำเป็น จนทำให้ภาพรวมของภาพยนตร์ดู ‘ล้นทะลัก’ และไม่สามารถชวนให้เราอยากติดตามเรื่องราวของพวกเขาต่อไปได้อย่างที่ผู้สร้างตั้งใจ (ยกเว้นฉากการปรากฏตัวของตัวละครที่แฟนๆ คิดถึงในช่วงท้ายเครดิต ที่พอจะทำให้เราตื่นเต้นกับภาคต่อไปขึ้นมาได้ประมาณหนึ่ง

moonbigpapi